วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ส่งตรวจวัตถุประหลาดในแม่น้ำโขง ติดไฟได้เอง






เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ครอบครัวข่าว 3

กรมทรัพยากรธรณี จ.หนองคาย เร่งพิสูจน์วัตถุประหลาดในแม่น้ำโขง มีควัน-ติดไฟได้ คาดเป็นฟอสฟอรัสขาวทำปฏิกิริยากับออกซิเจน

หลังจากที่นายวิรัตน์ พระฉาย อายุ 43 ปี พนักงานขับรถตักประจำโรงงานแห่งหนึ่ง ต.บ้านเดื่อ อ.เมืองหนองคาย จ.หนองคาย พบวัตถุประหลาดปะปนอยู่ที่ก้อนหินที่ดูดจากแม่น้ำโขง โดยมีลักษณะสีขาวขุ่น เนื้อนุ่มคล้ายฟองน้ำ ผิวขรุขระ มีควันและสามารถติดไฟได้เอง ซึ่งสร้างความประหลาดใจแต่ชาวบ้านที่พบเห็นเป็นอย่างมากนั้น

นายวศิน ศุภพิสุทธิ์ หัวหน้าฝ่ายโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดหนองคาย กล่าวว่า เมื่อทราบเรื่องดังกล่าว ตนจึงได้ขอความร่วมมือกับอาจารย์ภาควิชาเคมี ม.ขอนแก่น เพื่อส่งตัวอย่างวัตถุประหลาดไปพิสูจน์ และได้ส่งไปพิสูจน์ที่กรมทรัพยากรธรณี ที่กรุงเทพด้วยเช่นกัน ในเบื้องต้นยังไม่สามารถระบุได้ว่า วัตถุชนิดนั้นเป็นอะไร แต่เชื่อว่ากระบวนการทางวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้แน่นอน

ทางด้าน น.ส.โชติมา ยามี นักธรณีวิทยา กล่าวว่า จากการสังเกตเบื้องต้นคล้ายกับฟอสฟอรัสขาว ที่เมื่อสัมผัสกับออกซิเจนแล้ว ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาออกซิไดซ์ จึงเกิดประกายไฟและติดไฟได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องรอการพิสูจน์เพื่อความชัดเจนอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามประชาชนไม่ควรสูดดม หรือสัมผัสกับวัตถุนี้โดยตรง เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ อีกทั้งวัตถุชนิดนี้มีกลิ่นทำลายเยื่อโพรงจมูกได้

ขณะที่ นายมรกต อินทรภู่ เจ้าหน้าที่จากสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.หนองคาย กล่าวว่า ช่วงนี้ใน จ.หนองคาย มีการจุดบั้งไฟหลายแห่ง วัตถุดังกล่าวอาจจะเป็นชิ้นส่วนของบั้งไฟที่ตกลงมาในแม่น้ำโขง เพราะลักษณะของวัตถุดังกล่าวมีกลิ่นคล้ายดินปะสิว

แมงกะพรุนพิษโผล่ภูเก็ต เตือนคนลงเล่นน้ำอย่าสัมผัส


แมงกะพรุนไฟพิษโผล่หาดภูเก็ต นักวิชาการเตือนพิษน้อง ๆ งูเห่า เตือนคนที่ลงเล่นน้ำอย่าไปสัมผัส

จากกรณีที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำหาดในหาน จังหวัดภูเก็ต พบแมงกะพรุนเกยตื้นบริเวณหาดในหาน และหาดในทอน จึงได้ส่งตัวอย่างแมงกะพรุนให้เจ้าหน้าที่สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน จ.ภูเก็ต ตรวจสอบนั้น ล่าสุด นักวิชาการได้ออกมาเตือนนักท่องเที่ยวแล้วว่า แมงกะพรุนดังกล่าวมีพิษร้ายแรงเกือบเท่างูเห่า

โดยนายอุกกฤต สตภูมินทร์ นักวิชาการชำนาญการพิเศษ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน จ.ภูเก็ต กล่าวว่า ผลจากการเก็บตัวอย่างแมงกะพรุนพบว่า เป็นแมงกะพรุนกลุ่ม Hydrozoa วงศ์ Physalidae ชนิด Physalia sp. ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของแมงกะพรุนไฟ พบได้บ่อยในเขตน้ำอุ่น เช่น ประเทศออสเตรเลีย แต่สำหรับในชายฝั่งทะเลอันดามันถือเป็นการพบครั้งแรก

รักษาการ ผอ.สถาบันวิจัยฯ กล่าวต่อว่า แมงกะพรุนชนิดดังกล่าวมีพิษรุนแรงประมาณร้อยละ 75 ของพิษงูเห่า โดยสารพิษจะอยู่ในสายหนวด หากสัมผัสจะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้หลายระดับขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โดยอาการมีทั้งแสบคัน ปวดแสบปวดร้อน เป็นไข้ ช็อก หรือกระทั่งเกิดความผิดปกติขึ้นกับหัวใจและปอด จนถึงขนาดทำให้เสียชีวิตได้

นายอุกกฤต ยังกล่าวอีกว่า สำหรับแมงกะพรุนที่พบในหาดจังหวัดภูเก็ตมีพิษในระดับหนึ่งเท่านั้น โดยไม่ได้ทำให้ผู้สัมผัสถึงแก่ชีวิต แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำหาดควรเตือนนักท่องเที่ยวที่ลงเล่นน้ำให้ระวังแมงกะพรุนดังกล่าวที่มีสีฟ้าสดดูสะดุดตาน่าสัมผัส โดยย้ำว่า ให้ระมัดระวังอย่าไปสัมผัสแมงกะพรุนดังกล่าว เพราะอาจได้รับพิษได้ หรือแม้แต่ตัวที่ตายแล้วก็ยังมีพิษอยู่

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ฮือฮา! เพนกวินขั้วโลกพลัดถิ่น โผล่ไกลถึงนิวซีแลนด์


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก img.scoop.co.nz, youtube โพสต์โดย itnnews

เมื่อวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา สำนักข่าวเอพี รายงานว่า
เพนกวินจักรพรรดิตัวหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นบริเวณชายฝั่งประเทศนิวซีแลนด์ สร้างความฮือฮากับชาวเมืองเป็นอย่างมาก ผู้เชี่ยวชาญคาดอาจว่ายน้ำหลงทางมาจากขั้วโลกใต้

โดยเพนกวินตัวดังกล่าว เป็นเพนกวินหนุ่มอายุประมาณ 10 เดือน สูง 80 เซนติเมตร ได้ปรากฏตัวขึ้นในชายฝั่งนิวซีแลนด์ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา สร้างความประหลาดใจให้กับผู้พบเห็นและผู้เชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก เนื่องจากเพนกวินตัวนี้ เป็นเพนกวินจักรพรรดิ ที่พบได้ในแถบขั้วโลกใต้เท่านั้น และมันไม่ชอบอยู่ใกล้ถิ่นที่อยู่ของมนุษย์เลย ดังนั้น เมื่อมันปรากฎตัวในชายฝั่งนิวซีแลนด์ ที่มีภูมิประเทศและภูมิอากาศแตกต่างจากแถบขั้วโลกอย่างสิ้นเชิง จึงกลายเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก แถมมันยังมีสุขภาพแข็งแรงดีอย่างน่าฉงน แม้จะว่ายน้ำออกมาจากขั้วโลกใต้ไกลกว่า 3,200 กิโลเมตรก็ตาม

อย่างไรก็ดี การปรากฎตัวของเพนกวินพลัดถิ่นในนิวซีแลนด์ครั้งนี้ เป็นการปรากฏตัวครั้งแรกในรอบ 44 ปี โดยขณะนี้ทางการนิวซีแลนด์ยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ เพื่อส่งเพนกวินตัวนี้กลับไปอยู่ในที่ที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสม ทำได้เพียงแค่แนะนำประชาชนไม่ให้ก่อความวุ่นวาย และใช้เชือกจูงสัตว์เลี้ยงของตนไว้ให้ดี เพื่อป้องกันไม่ให้มันเข้าไปทำร้ายเพนกวินตัวนี้ ขณะที่นักอนุรักษ์ก็ได้แต่หวังว่าเจ้าเพนกวินตัวนี้จะกลับไปสู่ถิ่นที่อยู่ของมันโดยเร็ว เพราะแม้ว่าตอนนี้มันจะยังคงมีสุขภาพแข็งแรงดี แต่อีกไม่นานมันจะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างแน่นอน ซึ่งตอนนี้เจ้าเพนกวินก็ร้อนและมีสภาพโดดเดี่ยวน่าสงสารมาก อีกทั้งยังหิวโหยจนต้องกินทรายเปียกบนชายหาดแทนหิมะ เพื่อประทังชีวิตเลยทีเดียว


เชื้อแบคทีเรีย อีโคไล


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

หลังจากที่มีข่าวครึกโครมเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อแบคทีเรียอีโคไลในทวีปยุโรป ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 20 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 3 มิถุนายน) อีกทั้งยังมีพบผู้ติดเชื้ออีโคไล กว่า 2,000 ราย ภายใน 1 เดือนก็ทำให้เกิดความหวั่นวิตกไปทั่ววงการแพทย์ เนื่องจากทางการแพทย์เองก็ยังไม่หาสามารถหาข้อสรุปได้ว่า ต้นตอของเชื้อดังกล่าว มันมาจากที่ไหน..แต่ที่แน่ ๆ มันร้ายแรง ก้าวร้าวและดื้อยาปฏิชีวนะเป็นที่สุด !!! ...แถมยังได้ข่าวมาว่า ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดอีกด้วย

วันนี้กระปุกดอทคอมขอพาคุณ ๆ ไปทำความรู้จักกับเจ้าเชื้อแบคทีเรียอีโคไลกันค่ะ ว่าแต่ว่ามันจะร้ายแรงแค่ไหน แล้วมีวิธีป้องกันการติดเชื้ออย่างไร ไปติดตามกันเลยค่ะ

แบคทีเรีย อีโคไล คืออะไร?

แบคทีเรียชนิดนี้ มีชื่อเต็ม ๆ ว่า Escherichia coli (เอสเชอริเชีย โคไล) หรือที่เราเรียกกันสั้น ๆ ว่า E. coli(อี.โคไล) เป็นแบคทีเรียที่มีอยู่แล้วในร่างกายมนุษย์และสัตว์ จะพบได้ในลำไส้ใหญ่ แบคทีเรียชนิดนี้จะทำให้เกิดอาการท้องเสียบ่อย ๆ อุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำ แต่จะมีอาการไม่รุนแรง เพราะคนเรามีภูมิต้านทานโรคอยู่บ้าง และปกติเราสามารถพบเชื้อดังกล่าวได้ในอุจจาระอยู่แล้ว ถึงแม้จะไม่มีอาการอะไร

ทั้งนี้ แบคทีเรียอีโคไลนั้นมีอยู่หลายชนิด แต่เชื้อแบคทีเรียอีโคไลที่ระบาดอยู่ในทวีปยุโรปนั้น เป็นเชื้อแบคทีเรียอีโคไล ชนิด โอ104 ผลิตสารพิษชิก้า (STEC) ซึ่งเป็นเชื้อชนิดที่มีความรุนแรงมาก และเจริญเติบโตได้ดีในอุณหภูมิ 35-37 องศาเซลเซียส

แบคทีเรียอีโคไล แพร่เข้าสู่ร่างกายคนได้อย่างไร?

เชื้ออีโคไลจะเข้าสู่ร่างกายคนได้จากการรับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มที่มีเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้อยู่ ซึ่งส่วนมากจะพบในอาหารที่ปรุงไม่ถูกสุขลักษณะ

เมื่อติดเชื้อ แบคทีเรียอีโคไล แล้ว จะมีอาการอย่างไร?

เริ่มแรกผู้ป่วยจะมีอาการท้องร่วงเล็กน้อย จนกระทั่งรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมีอาการปวดท้อง ถ่ายเหลว อาจจมีเลือดปน มีไข้ อาเจียน ถ้าหากไม่หายภายใน 10 วัน ควรไปพบแพทย์เป็นการด่วน ไม่เช่นนั้นผู้ป่วยจะเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก และไตวาย อาจจะทำให้เสียชีวิตในที่สุด นอกจากนี้ผู้ป่วยไม่ควรรับประทานยาระงับการถ่ายอุจจาระ เพราะยาประเภทนี้จะทำให้อาการป่วยรุนแรงขึ้นกว่าเดิม




การป้องกันและรักษา

ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อแบคทีเรีย อีโคไล แต่ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาแก้ปวดท้องได้ในเบื้องต้น และควรหลีกเลี่ยงยาแก้ปวดในกลุ่มสเตอรอยด์ เช่น ยาแอสไพริน เพราะจะยาตัวนี้จะไปทำลายไตของผู้ป่วย

สำหรับวิธีป้องกันเชื้อ แบคทีเรียอีโคไล ในเบื้องต้น คือ

1. รับประทานอาหารที่ปรุงสุก และถูกสุขลักษณะ
2. ควรเก็บอาหารประเภทเนื้อสัตว์ไว้ในอุณหภูมิต่ำ
3. สำหรับผักสด ควรล้างน้ำให้สะอาด โดยการปล่อยน้ำไหลผ่านผักประมาณ 2 นาที
4. ในการประกอบอาหารควรปรุงให้สุกในระดับอุณหภูมิ 71 องศาเซลเซียสขึ้นไป
5. ยึดหลัก กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมืออยู่เสมอ
6. เมื่อมีอาการท้องเสียขั้นรุนแรง ควรไปพบแพทย์โดยด่วน และอย่ารับประทานยาระงับถ่ายอุจจาระ


เตือนหม้อก๋วยเตี๋ยวด้อยคุณภาพ ทำสะสมพิษเสี่ยงอัมพาต


กรมอนามัย เตือนอันตรายตะกั่วจากหม้อก๋วยเตี๋ยวด้อยคุณภาพ ชี้ พิษสะสมมากเสี่ยงอัมพาต (กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข)

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข หวั่นอันตรายจากหม้อก๋วยเตี๋ยวไม่ได้คุณภาพเสี่ยงปนเปื้อนตะกั่ว ซึ่งอาจมีผลต่อสุขภาพของผู้บริโภค หากได้รับสะสมในปริมาณที่มากเกินไปจะทำให้ระบบประสาทส่วนปลายเป็นอัมพาต แนะทางป้องกันควรเลือกใช้หม้อก๋วยเตี๋ยวที่ได้มาตรฐาน มอก.

ดร.นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยถึงอันตรายจากสารตะกั่วในหม้อก๋วยเตี๋ยวเก่าไม่ได้คุณภาพ ว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีร้านอาหารและแผงลอยทั่วประเทศจำนวน 166,760 แห่ง เป็นร้านอาหารและแผงลอยจำหน่ายก๋วยเตี๋ยว จำนวน 75,000 แห่ง มีตั้งแต่ระดับรถเข็นข้างถนนไปจนถึงระดับร้านในห้างสรรพสินค้า และมีลักษณะการประกอบกิจการทั้งที่เป็นกิจการของครอบครัวที่สืบทอดกันมา แบบร้านที่มีหลายสาขา และแบบเฟรนไชส์ที่มีมากกว่า 20 ราย รวมทั้งแบบร้านมือใหม่เริ่มขายอีกจำนวนมาก ทำให้ร้านก๋วยเตี๋ยวที่จำหน่ายอยู่มีหลายระดับขึ้นอยู่กับความรู้ ทักษะ และเงินทุนของผู้ประกอบการ บางร้านถูกสุขลักษณะ บางร้านก็ไม่ถูกสุขลักษณะ บางร้านใช้วัตถุดิบและเครื่องปรุงที่มีการปนเปื้อนสารเคมี โดยเฉพาะหม้อก๋วยเตี๋ยวซึ่งถือเป็นอุปกรณ์หลักจำเป็นต้องมีคุณภาพ ไม่ชำรุด เพราะหากไม่ได้คุณภาพอาจทำให้เสี่ยงต่อการปนเปื้อนสารตะกั่วได้

ดร.นพ.สมยศ กล่าวต่อไปว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่นิยมใช้หม้อก๋วยเตี๋ยวที่ผลิตจากเหล็กกล้าไร้สนิมออสเตนิติก 304 หรือ 304L โดยนำมาม้วนขึ้นรูป พับตะเข็บรอยต่อและประสานตะเข็บรอยต่อ ป้องกันการรั่วซึมด้วยกระบวนการบัดกรีอ่อน โดยใช้วัสดุบัดกรีที่มีส่วนผสมของตะกั่วและดีบุกในอัตราส่วนประมาณ 40 : 60 โดยมีอุณหภูมิหลอมเหลวประมาณ 190 องศาเซลเซียส ซึ่งตะกั่วที่ใช้บัดกรีในหม้อก๋วยเตี๋ยวสามารถปนเปื้อนกับน้ำลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวและน้ำซุปก๋วยเตี่ยวได้ เมื่อรับประทานเข้าไปก็จะทำให้ได้รับสารตะกั่วเข้าไปด้วย

อย่างไรก็ตาม หากได้รับพิษตะกั่วอย่างต่อเนื่องและปริมาณมากจะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายอย่างเฉียบพลันคือ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง เมื่อพิษสะสมจะทำให้ระบบประสาทส่วนปลายเป็นอัมพาตที่นิ้วเท้าและมือ เหนื่อยง่าย และอ่อนเพลียได้

"ทั้งนี้ วิธีสังเกตหม้อก๋วยเตี๋ยวที่ไร้สารตะกั่วปนเปื้อน จะมีลักษณะการประสานรอยต่อเป็นแนวตะเข็บเรียบร้อย ประณีต และไม่ขรุขระ เนื่องจากไม่ใช้โลหะประสานแนวเชื่อม แต่อาศัยการหลอมเหลวของเนื้อ สเตนเลส ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับหม้อก๋วยเตี๋ยวทั่วไปจะมีตะเข็บรอยต่อขรุขระ และมีรอยตะกั่วเชื่อมชัดเจน"

"นอกจากนี้ต้องผ่านการตรวจสอบสารตะกั่วจากกรมวิทยาศาสตร์บริการ และศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ซึ่งล่าสุดสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ได้กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องใช้เหล็กกล้าไร้สนิม : ภาชนะหุงต้มที่มีรอยประสานขึ้น เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐาน มอก. (มาตรฐานบังคับ) ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 4043 (พ.ศ. 2552) โดยมีผลบังคับให้ผู้ผลิตต้องผ่านมาตรฐาน มอก. (มาตรฐานบังคับ) เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป กรมอนามัยจึงขอความร่วมมือผู้ประกอบการควรหันมาใช้หม้อก๋วยเตี๋ยวอนามัย ซึ่งมีอายุการใช้งานนานกว่า ทนทาน ไม่ชำรุดง่าย และเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคอีกด้วย" อธิบดีกรมอนามัยกล่าวในที่สุด

วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ความจำเป็นของคนไม่เท่ากัน

ความจำเป็นของคนไม่เท่ากัน (หนังสือห้องนั่งเล่นของความคิด)
โดย ลูกปัด





ถ้าเรารู้ความเป็นมาของใครสักคน
เราจะเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ
เราจะไม่สงสัยว่าทำไมคนนั้นถึงทำอย่างนั้น
ทำไมคนนี้ถึงทำอย่างนี้ได้



การถามถึงที่มาที่ไปของคน ของเรื่องราว
และการกระทำต่าง ๆ เป็นสิ่งควรทำ
ก่อนจะตัดสินใจว่าคนคนนั้นดีหรือเลวอย่างไร
หรือก่อนจะสรุปว่าเรื่องนั้นเรื่องนี้สมเหตุสมผลหรือไม่



คนที่กระหายน้ำอาจจะต้องการน้ำหนึ่งแก้วเพื่อที่จะดื่ม
แต่คนอีกคนอาจจะต้องการน้ำหนึ่งแก้วเพื่อรดน้ำต้นไม้
ถ้าเราไม่รู้ที่มา...เราก็จะตัดสินอย่างง่าย ๆ ว่า
คนที่กระหายน้ำสมควรที่จะได้น้ำแก้วนั้น



แต่ถ้าเราได้รู้ว่า คนที่ปลูกต้นไม้ต้นนี้เขาได้เฝ้าปลูก
ทะนุถนอม ดูแลมาอย่างดีนั้น
เป็นต้นไม้ต้นเดียว และเป็นความหวังเดียว
ที่จะสร้างอาชีพ สร้างอนาคต เลี้ยงตัวเอง
เราก็อาจจะต้องกลับมาคิดอีกครั้งว่า...
ควรจะให้น้ำแก้วนี้กับใคร



คนที่อย่าห่างไกล ... คนที่เป็นที่รัก
ก็อาจจะต้องยอมเสียค่าใช้จ่าย
ในการส่งจดหมาย หรือโทรศัพท์ จนมากมาย
ขณะที่บางคนกลับคิดว่าการโทรศัพท์ถึงกันบ่อย ๆ นั้น
เป็นเรื่องไร้สาระและสิ้นเปลืองเปล่า ๆ



ส่วนคนที่อยู่ไกลกันนั้น...
สิ่งนี้อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงชีวิต
ให้มีกำลังใจ และมีความสุข มีความเชื่อมั่น
พอที่จะพาชีวิตให้ผ่านวันแต่ละวัน



เด็กหญิงบางคนที่นั่งพับนกทั้งวัน
เพื่อที่จะเอาไปอธิษฐานขอให้แม่หายป่วย
เพราะรู้ว่าไม่มีทางไหนที่จะทำให้อีกแล้ว



ในการลงมือทำอะไรสักอย่างของคนทุกคน
มีเหตุผล และมีความจำเป็นในการทำต่างกัน

เรื่องเดียวกัน...
คนสองคนอาจมีความจำเป็นในการทำต่างกัน
สำหรับบางคนอาจจำเป็นมาก...บางคนจำเป็นน้อย
หรือบางคนก็ไม่จำเป็นเลย



เหตุผลของชีวิตมีมากมาย อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
สิ่งเล็กน้อยที่สุดก็อาจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดได้

ดังนั้น...บางอย่างเราจึงไม่ควรตัดสิน
ว่าใครควรทำสิ่งไหน หรือไม่สมควรทำสิ่งไหน
จงดูที่มาที่ไปของเขา ค่อย ๆ คิดแล้วจะเข้าใจเหตุผล
เมื่อเข้าใจเหตุผลก็จะให้อภัยได้ในทุก ๆ อย่าง
และรู้ว่าจะต้องทำอย่างไร กับใคร





เพราะบางทีที่ไม่ทันคิด
เราอาจจะยื่นแก้วน้ำให้อีกคนหนึ่งดื่ม
โดยไม่รู้ว่าอนาคตของอีกคนกำลังค่อย ๆ ดับลง
...พร้อมกับต้นไม้ต้นนั้น...



วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นานาชาติ ฉันรักเธอ :D


ภาษาพม่า เรียกว่า จิต พา เด (chit pa de)
เขมร เรียกว่า บอง สรัน โอน (Bon sro Iahn oon)
เวียดนาม เรียกว่า ตอย ยิ่ว เอ๋ม (Toi yue em)
มาเลเซีย เรียกว่า ซายา จินตามู (Saya cintamu)
อินโดนีเซีย เรียกว่า ซายา จินตา ปาดามู (Saya cinta padamu)
ฟิลิปปินส์ เรียกว่า มาฮัล กะ ตา (Mahal ka ta)
ญี่ปุ่น เรียกว่า คิมิ โอ ไอ ชิเตรุ (Kimi o ai X eru)
เกาหลี เรียกว่า โน รุย สะรัง เฮ (No-rui sarang hae)
เยอรมัน เรียกว่า อิคช์ ลิบ ดิกช์ (Ich Liebe Dich)
ฝรั่งเศส เรียกว่า เฌอแตม (Je taime)
ฮอลแลนด์ (ดัชต์) เรียกว่า อิค เฮา ฟาวน์ เยา (Ik hou van jou)
สวีเดน เรียกว่า ย็อก แอลสการ์ เด (Jag a Lskar dig)
อิตาลี เรียกว่า ติ อโม (Ti amo)
สเปน เรียกว่า เตอ เควียโร (Te quiero)
รัสเซีย เรียกว่า ยาวาส ลุยบลิอู (Ya vas Liubliu)
โปรตุเกส เรียกว่า อโม-เท (Amo-te)
จีนกลาง เรียกว่า หว่อ อ้าย หนี่ (Wo ai ni)
จีนแคะ เรียกว่า ไหง อ้อย หงี (Ngai oi ngi)
ฮกเกี้ยน เรียกว่า อั๊ว X ลู่ (Auo ai Lu)
ตุรกี เรียกว่า เซนี เซวีโยรัม (Seni Seviyorum )

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

10 วิธีดูแลสมองให้เฉียบแหลม


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

การทำงานของระบบสมองถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะละเลยไม่ได้ เพราะสมองมีหน้าที่ควบคุมและสั่งการการเคลื่อนไหว พฤติกรรม และรักษาสมดุลภายในร่างกาย ด้วยเหตุนี้เองกระปุกดอทคอมจึงขอเสนอวิธีการดูแลสมองให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าอยากจะรู้ว่ามีวิธีใดบ้างแล้วล่ะก็ ตามมาดูกันเลย

1. ออกกำลังกายซะบ้าง

นักวิทยาศาสตร์หลายต่อหลายท่านเห็นตรงกันว่าการออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีทุกวัน จะเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลดีต่อระบบสมอง ขณะที่หัวใจและปอดก็จะแข็งแรงตามไปด้วย ซึ่งก็เท่ากับว่าหากสมองแข็งแรง ก็จะทำให้ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายแข็งแรงตามไปด้วย

2. ทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ

คุณรู้หรือไม่ว่า การได้รับพลังงานไม่ว่าจะมากหรือน้อยเกินไปส่งผลต่อการทำงานของระบบสมอง ดังนั้นแล้วอาหารหรือผลไม้อะไรก็ตามแต่ที่คุณทาน ก็ควรจะเป็นอาหารที่ให้ไฟเบอร์สูง และให้ปริมาณของไขมันและโปรตีนอย่างพอเหมาะ ลดการทานอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ก็จะทำให้การทำงานของระบบสมองมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

3. ไม่ตามใจปาก

การตามใจปาก ทานอาหารอย่างไม่ดูคุณค่าทางโภชนาการจะทำให้สมองทำงานช้าลง ดังนั้นจึงควรที่จะควบคุมการทานอาหารอย่างพอเหมาะ เพราะหากควบคุมอาหารที่มากเกินความจำเป็น ก็จะส่งผลเสียทำให้เกิดภาวะเบื่ออาหาร ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการทำงานของสมองอย่างมาก

4. ดูแลตัวเอง

โรคเบาหวาน โรคอ้วน และโรคความดันโลหิตสูง เป็น 3 โรคอันตรายที่ส่งผลกระทบต่อสมองโดยตรง ทำให้กระบวนการรับรู้ของสมองแย่ลงจนอาจทำให้เกิดอาการความจำเสื่อมได้ ดังนั้นคุณจึงควรที่จะดูแลตัวเอง หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีไขมันสูง เพื่อบรรเทาไม่ให้สมองถูกทำลายก่อนวัยอันสมควร

5. พักผ่อนให้เพียงพอ

การนอนหลับถือว่าเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดที่ทำให้ร่างกายและสมองได้รับการผ่อนคลายจากการใช้งานมาตลอดทั้งวัน ซึ่งการนอนอย่างน้อยวันละ 8 - 10 ชั่วโมง ก็จะทำให้การทำงานของสมองดีขึ้น และตัวคุณเองก็จะรู้สึกสดชื่นขึ้นเช่นกัน

6. กาแฟช่วยคุณได้

มีการศึกษาพบว่ากาเฟอีนในกาแฟสามารถปกป้องสมองได้ การดื่มกาแฟวันละ 2 - 4 แก้วต่อวัน จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ หรือโรคความจำเสื่อมได้ 30 - 60% เลยทีเดียว

7. ทานปลาบำรุงสมอง

ปลาถือเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ให้ประโยชน์ต่อร่างกายและสมองสูง โดยเฉพาะโอเมก้า 3 ที่อยู่ในเนื้อปลา มีประโยชน์ที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของสมองให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

8. ปล่อยตัวไปตามสบาย

เครียดมากเกินไปก็ส่งผลทำให้การทำงานและการจดจำของสมองแย่ลงได้ ดังนั้นแล้วจงปล่อยตัวไปตามสบายซะบ้าง ทำจิตใจให้สงบ อย่างเช่น การเล่นโยคะ ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ

9. หลีกเลี่ยงการใช้อาหารเสริมต่าง ๆ

หากใช้อาหารเสริมต่าง ๆ อย่างผิดวิธีและเกินความจำเป็นจะส่งผลเสียต่อสมองอย่างมาก ที่สำคัญยังเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ เพราะอาหารเสริมก็เหมือนยาชนิดหนึ่งซึ่งจะส่งผลดีก็ต่อเมื่อร่างกายมีปัญหาหรือร่างกายจำเป็นต้องได้รับเท่านั้น หากร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดีอยู่แล้ว ก็ไม่ควรใช้อาหารเสริมแต่อย่างใด

10. ทำกิจกรรมที่ลับสมอง

เพื่อเป็นการเพิ่มรอยหยักให้สมอง เมื่อใดก็ตามที่คุณมีเวลาว่าง ให้ลองหาเกมลับสมองมาเล่นดู ไม่ว่าจะเป็นปริศนาอักษรไขว้ ต่อจิ๊กซอว์ เพราะนอกจากคุณจะได้เพลิดเพลินแล้ว ยังช่วยให้ระบบการทำงานของสมองใช้การได้ดีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

ได้รู้วิธีการดูแลบำรุงสมองดี ๆ ทั้ง 10 ข้อนี้แล้ว ก็อย่าลืมนำไปปรับใช้กันด้วยนะจ๊ะ เพื่อจะได้มีสมองที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพและเฉียบแหลมอยู่ตลอดเวลา