วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วิธีฟื้นฟูผมเสีย ให้กลับมาสวย
วันนี้เรามีเคล็ดลับผมสวยดี ๆ มาฝากคุณสาว ๆ ที่อยากมีผมสวยกันอีกแล้ว ว่าแต่จะมีอะไรบ้างนั้น เราไปดูพร้อม ๆ กันเลยค่ะ
ทุกเช้าหลังตื่นนอน ใช้ปลายนิ้วมือสางผมอย่างอ่อนโยนป้องกันปัญหาผมพันกัน
ก่อนสระผมใช้แปรงไม้แปรงผมอย่างเบามือ เพื่อให้สิ่งสกปรกที่ติดผมอยู่หลุดออก เพื่อความนุ่มสวยของผม ก็อาจจะใช้น้ำมันมะกอกชโลมที่เส้นผมแล้วใช้มือสางให้ ทั่วหมักทิ้งไว้ 10 นาทีก่อนสระ
เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพผมที่เหมาะกับสภาพผม หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรง ๆ ซึ่งอาจทำลายสมดุลของสุขภาพผมได้
หมั่นบำรุงผมด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของมอยซ์เจอไรเซอร์เข้มข้น เพื่อคืนความชุ่มชื้นที่สูญเสียไปให้แก่เส้นผม หลีกเลี่ยงการใส่ครีมนวดบริเวณโคนผมเพราะจะทำให้หนังศีรษะมัน
อย่าเกาศีรษะหรือขยี้ผมแรง ๆ ระหว่างสระควรใช้ปลายนิ้วมือนวดบำรุงหนังศีรษะอย่างอ่อนโยน เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และป้องกันหนังศีรษะเป็นแผลหรือเกิดรังแค ได้
ผมเปียกจะอ่อนแอเป็นพิเศษหลังสระ จึงไม่ควรขยี้ผมหรือแปรงผมแรง ๆ แต่ถ้าจะแปรงให้ก้มหัวลง และใช้หวีแปรงที่โคนผมจนถึงปลายผมเพื่อกระตุ้นหนัง ศีรษะ
หากมีเวลาควรปล่อยให้ผมแห้งเองด้วยการใช้พัดลม หลีกเลี่ยงการไดร์ หนีบ หรือม้วนผมด้วยความร้อนสูง ๆ
รับประทานอาหารที่อุดมด้วยโปรตีน วิตามินบี 6 แมกนีเซียม สังกะสี เพื่อบำรุงเส้นผม เช่น เนื้อ ตับ ไต ข้าวซ้อมมือ กล้วย ลูกพรุน ลูกเกด ถั่ว นมและผัก
หมั่นเล็มปลายผมทุก 8-10 สัปดาห์ ปิดท้ายด้วยการหลีกเลี่ยงการรัดผม มัดผม หรือคาดผมจนตึงแน่นเพื่อลดความเครียดและป้องกันปัญหาศีรษะล้านได้
วิธีแปรงผมที่ถูกต้อง ให้แบ่งผมเป็นส่วน ๆ ค่อย ๆ หวีผมทีละส่วนด้วยหวีไม้ซี่ห่าง ๆ หลีกเลี่ยงหวีพลาสติกที่จะทำให้เกิดไฟฟ้าสถิต เริ่มแปรงผมจากด้านในมาด้านนอกแปรงผมอย่างอ่อนโยนจากบนลงล่าง
มหัศจรรย์ ตะขบ ด้อยราคา - มากคุณค่า
มหัศจรรย์ "ตะขบ" ด้อยราคา-มากค่า (ไทยโพสต์)
วิจัยพบ "ตะขบ" มีคุณค่าเหนือกว่าผลไม้นอกหลายชนิด ผลมีใยอาหาร-แคลเซียม-โปแตสเซียมสูง ดูดซับคอเลสเตอรอลลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ เส้นเลือดสมองแตก เตือนคนคุมน้ำหนัก ผู้ป่วยเบาหวานเลี่ยงลิ้นจี่-องุ่น น้ำตาล มาก
นพ।สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากการที่กลุ่มวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ กองโภชนาการ ดำเนินการศึกษาวิจัยเรื่อง "ปริมาณใยอาหาร น้ำตาล และแร่ธาตุในผลไม้" โดยการเก็บตัวอย่างผลไม้จำนวน 30 ตัวอย่างจากท้องตลาด 5 แห่งในเขต กทม।และปริมณฑล โดยเก็บตัวอย่างละ 2 กิโลกรัมมาวิเคราะห์ใน 2 ส่วน คือ 1।วิเคราะห์น้ำตาลและน้ำ 2।วิเคราะห์ใยอาหาร โปรตีน ไขมัน และแร่ธาตุ จากผลการศึกษาพบว่า ผลไม้ในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัม มีน้ำเป็นส่วนประกอบ 76-94 กรัม มีใยอาหาร 0।5-6।3 กรัม มีน้ำตาลรวม 3-18 กรัม และมีพลังงาน 33-97 กิโลแคลอรี
ผลไม้ที่มีใยอาหารสูง ได้แก่ ตะขบ 6।3 กรัม ฝรั่งแป้นสีทอง 3.3 กรัม ลูกหว้า 3.3 กรัม และฝรั่งกิมจู 3.1 กรัม ผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง ได้แก่ ลิ้นจี่พันธุ์ค่อม 18 กรัม องุ่นดำไร้เมล็ด (ลูกใหญ่) 15 กรัม ลิ้นจี่จักรพรรดิ 13 กรัม สละ 13 กรัม และองุ่นแดง (ลูกใหญ่) 13 กรัม ส่วนผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย ได้แก่ เนื้อมะพร้าวอ่อน 3 กรัม ลูกหว้า 5 กรัม ลูกตาลอ่อน 5 กรัม ราสพ์เบอรี่ 6 กรัม และแคนตาลูป (เขียว) 6 กรัม
ผลไม้ส่วนใหญ่มีพลังงานน้อย เพราะมีน้ำเป็นองค์ประกอบค่อนข้างมาก จากการศึกษาครั้งนี้พบตะขบและมะม่วงเขียวเสวยดิบมีพลังงานมากกว่าผลไม้อื่น คือ มี 97 และ 87 กิโลแคลอรีต่อ 100 กรัม" นพ।สมยศกล่าว อธิบดีกรมอนามัยกล่าวว่า สำหรับปริมาณแร่ธาตุ โซเดียม โปแตสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส ในผลไม้ 100 กรัม พบว่า มีโปแตสเซียม 106-773 มิลลิกรัม โซเดียม 0।7-19.8 มิลลิกรัม แคลเซียม 0.3-108 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 0-60.7 มิลลิกรัม ผลไม้ที่มีโปแตสเซียมสูง ได้แก่ ตะขบ 773 มิลลิกรัม เชอรี่นอก 486 มิลลิกรัม เนื้อมะพร้าวอ่อน 381 มิลลิกรัม และน้ำมะพร้าวอ่อน 330 มิลลิกรัม ส่วนผลไม้ที่มีโซเดียมสูง คือ ลูกท้อสด มีโซเดียม 19.8 มิลลิกรัม ราสพ์เบอรี่ 16.7 มิลลิกรัม ตะขบ 12.8 มิลลิกรัม ผลไม้ที่มีแคลเซียมสูง คือ ตะขบ มีแคลเซียม 108 มิลลิกรัม ผลไม้ที่มีฟอสฟอรัสสูง คือ ลูกหว้า มีฟอสฟอรัส 60.7 มิลลิกรัม ตะขบ 51.7 กรัม
จากการศึกษาครั้งนี้พบตะขบฝรั่ง และ ลูกหว้า เป็นผลไม้ที่มีใยอาหารสูง ส่วนผลไม้ที่มีน้ำตาลมาก เช่น ลิ้นจี่ และองุ่น อาจเป็นผลไม้ที่ควรระวัง หรือต้องห้ามสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน แต่แนะนำให้กินเนื้อมะพร้าวอ่อนหรือลูกตาลอ่อนทดแทนได้ เพราะมีน้ำตาลน้อย ส่วนผลไม้ที่มีโซเดียมน้อยจะเป็นผลดีต่อผู้ป่วยความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ ขณะที่ปริมาณโปแตสเซียมในผลไม้จัดเป็นแร่ธาตุหลักที่พบ ซึ่งหากมีมากอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังบางชนิดได้ รวมการเกิดเส้นเลือดในสมองแตกได้เช่นกัน
วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553
กรีนพันช์ Green Punch
น้ำผลไม้เข้มข้น 1/2 ถ้วยตวง(น้ำส้มควอช, น้ำบลูเบอร์รี่สควอช,กรีนพั้นช์และฟรุตพั้นช์)
น้ำโซดาแช่เย็นจัด 1 ถ้วยตวง
น้ำแข็งบดละเอียด 1/2 ถ้วยตวง
ไอศกรีมรสที่ชอบและใบสะระแหน่สำหรับแต่ง
ฟรุตตี้พันช์
สิ่งที่ต้องเตรียม
น้ำลิ้นจี่กระป๋อง 1 กระป๋อง
น้ำสัปปะรดกระป๋อง 1 กระป๋อง
น้ำมะเขือเทศกระป๋อง 1 กระป๋อง
โซดา 1 ถ้วยตวง
วิสกี้ 1/2 ถ้วยตวง
น้ำมะนาว 1/2 ถ้วยตวง
น้ำเชื่อม (หากชอบหวาน หรือดื่มกับน้ำแข็ง)
ฟรุตค็อกเทล 1 กระป๋อง
วิธีทำ
- ผสมส่วนผสมทั้งหมด คนผสมให้เข้ากัน
- ตกแต่งหน้าด้วยมะนาวฝานบาง ๆ นำเข้าตู้เย็นก่อนเวลาเสิร์ฟ
ราสเบอรี่อิตาเลียนโซดา
แพนนาคอตต้าชาเขียว
เวลาเตรียม 5 นาที
ส่วนผสม
1. แช่แผ่นเจลาตินในน้ำเย็นจัดประมาณ 2-3 นาทีจนอ่อนตัว
2. เทวิปปิ้งครีมรวมกับน้ำตาล คนให้เข้ากันจากนั้นนำไปต้ม
3. ใส่ผงชาเขียวลงไป แล้วยกตั้งไฟอ่อนๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ส่วนผสมเดือดก่อนผงชาเขียวละลาย คนไปเรื่อยๆ
4. ใส่แผ่นเจลาตินลงไปเป็นอันดับสุดท้าย เทใส่พิมพ์แก้ว แล้วจึงนำไปแช่เย็น ถ้าจะให้อร่อย ท็อปปิ้งด้วยบลูเบอร์รี่ รสชาติไปกันได้ดีนะ
ข้าวอบกุ้งผัดโรสเมรี่
ข้าวอบกุ้งผัดโรสเมรี่
เครื่องปรุง
1ข้าวสาร 1/2 ถ้วย
2น้ำซุบกุ้ง 4 ถ้วย
3ไวน์ขาว 1/2 ถ้วย
4เกลือ พอประมาณ
5พริกไทย พอประมาณ
6เนย 2 ช้อนโต๊ะ
7พาเมซานชีส 1/4 ถ้วย
8น้ำมันมะกอก พอประมาณ
9พาร์สรี่ย์ 1 ช้อนชา
10กระเทียมสับ 1/2 ช้อนชา
11หอมหัวใหญ่สับ 1 ช้อนโต๊ะ
12หอมแดงสับ 1 ช้อนชา
13กุ้ง 15 ตัว
14พริกป่น พอประมาณ
15บรั่นดี พอประมาณ
16ใบโหระพา พอประมาณ
17โรสแมรี่ พอประมาณ
วิธีทำ
1 นำกระทะตั้งไฟให้ร้อน ใส่เนย ใส่ข้าวสารผัดให้ขึ้นเงา เติมไวน์ขาว เกลือ พริกไทย และโรสแมรี่ ผัดให้เข้ากัน
2 เทข้าวที่ผัดแล้วลงไปในหม้อ เติมน้ำซุปลงไป หุงข้าวให้สุกประมาณ 15 นาที
3 เปิดฝาหม้อขึ้น เติมน้ำมันมะกอก พาเมซานชีส พาร์สรี่ย์ คนให้เข้ากัน ตักใส่จาน รอราดหน้า
4 นำกระทะตั้งไฟให้ร้อน ใส่น้ำมันมะกอก กระเทียม หอมใหญ่ หอมแดง และกุ้งลงไปผัดให้เข้ากัน
5 ปรุงรสด้วย เกลือ พริกไทย พริกป่น และบรั่นดี จากนั้นใส่น้ำซุปกุ้ง ใบโหระพา ลงไป
6 ตักกุ้งที่ผัดแล้ว ราดบนหน้าข้าว เสิร์ฟทันที
ดาร์กช็อกโกแลต และวาซาบิมูส
เวลาเตรียม 7 นาที
ส่วนผสม
2. นำวิปปิ้งครีมไปตีด้วยเครื่องให้ขึ้นฟู โดยใส่วิปปิ้งครีมทีละครึ่ง พอหมดแล้ว พักไว้ก่อน
3. นำส่วนผสมของน้ำตาลในข้อแรก ตีเข้ากับไข่ไก่จนเซ็ทตัวแข็งดี จากนั้น ใส่ผงวาซาบิลงไปในช็อกโกแลตที่ละลายไว้จากข้อ1 คนให้เข้ากัน แล้วจึงนำส่วนผสมของไข่ไก่ใส่ตามลงไป ตีให้เข้ากัน
4. ใส่วิปปิ้งครีมลงไปทีละครึ่ง ตีจนขึ้นฟู แล้วเทใส่พิมพ์ ยกเสิร์ฟได้ทันที
มูสไวท์ช็อกโกแลตกับเสาวรสโรยแครอทคาเวียร์
มูสไวท์ช็อกโกแลตกับเสาวรสโรยแครอทคาเวียร์ สำหรับ 12 แก้ว
ส่วนผสมมูสช็อกโกแลตและเสาวรส
1ไวท์ช็อกโกแลต 500 กรัม
2เสาวรส 6 ลูก (คั้นสด)
3ครีม 250 มล
4วิปครีม 500 มล
ส่วนผสมของแครอทคาเวียร์
1แครอท 1,000 กรัม (คั้นเฉพาะน้ำ)
2น้ำเชื่อมซินนามอน 350 มล
3น้ำสะอาด 2,500 มล
4น้ำตาลขาว 250 กรัม
5เกลือ 20 กรัม
6ผงสาหร่าย Algin 8 กรัม
7ผงสาหร่าย Calcic 10 กรัม
วิธีทำ
1 เทน้ำเสาวรสลงไปในไวท์ช็อกโกแลตที่ละลายดีแล้ว ใช้ไม้พายคนให้ไวท์ช็อกโกแลตละลายและส่วนผสมเข้ากันดี
2 จากนั้น เทวิปครีมลงไป คนต่อให้เข้ากัน แล้วเทลงในแก้วพิมพ์
4. โรยแครอทคาเวียร์ลงบนไวท์ช็อกโกแลตมูส ยกเสิร์ฟได้ทันที
สูตรสปาเก็ตตี้อีสาน
สูตรสปาเก็ตตี้ไข่กุ้ง
วิธีทำ
สูตรสปาเก็ตตี้คอร์นบีฟ
ส่วนประกอบ
1เส้นสปาเก็ตตี้ต้ม
วิธีทำ
สูตรสปาเก็ตตี้ปูอัดผัดผัก 3 สี
ส่วนผสมมีดังนี้ (สำหรับ 2 ที่)
หลังจากที่ได้เตรียมส่วนผสมกันเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการลงมือปรุงกันได้เลย ซึ่งไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย โดยเริ่มจากตั้งกระทะน้ำมันด้วยไฟกลางให้ร้อน จากนั้นนำปูอัดลงไปผัด ใส่เส้นสปาเก็ตตี้โฮลวีทที่ต้มสุกแล้วลงไปผัด
สูตร สปาเก็ตตี้ คาโปนารา (ซอสขาว)
อีกสูตรหนึ่งนะคะเอามาจากคู่มือทำอาหารอิตาเลี่ยนค่ะส่วนผสมมีดังนี้:
วิธีทำ
ู้วิธีการทำสปาเก็ตตี้ประเภทซอสครีม
ู้วิธีการทำสปาเก็ตตี้ประเภทซอสครีม
เครื่องปรุงซอสครีมก็มี
1เนย
2แป้งสาลี
3น้ำซุปใส
4กระเทียมสับ
5หอมใหญ่สับละเอียด
6เนื้อสัตว์ต่างๆที่ต้องการใส่ค่ะ
7ครีมข้น ยี่ฮ้ออะไรก็ได้ค่ะ
8เกลือ
9พริกไทย
10อโรมาด
วิธีทำซอส
1ตั้งกระทะให้ร้อนแล้วใส่เนยลงไปพอเนยละลายให้ใส่แป้งสาลีลงไปแล้วเคี่ยวให้เป็นก้อนพอเป็นก้อนเเล้วให้ใส่น้ำซุปลงไปค่อยๆใส่นะครับไม่ต้องใส่ทีละเยอะๆ(แล้วไม่ต้องใช้ไฟแรงมาก)พอเห็นน้ำซุปเปลี่ยนเป็นสีขาวข้นๆแล้วก็ปิดไฟตักซอสใส่ถ้วยไว้เราจะเอาซอสนี้ไว้ใส่ตอนหลังค่ะ
2ตั้งกระทะใส่เนยจืดลงไป รอเนยละลายอย่าให้ไหม้นะค่ะ ใส่กระเทียมสับ หอมใหญ่สับผัดเนยกับหอมใหญ่ซักพักพอหอม เอาเนื้อสัตว์ต่างๆที่ต้องการใส่ลงไปผัดให้สุก เทซอสที่เตรียมไว้ใส่ลงไปแล้วคนให้ร้อน ใส่ครีมลงไปแล้วตามด้วยเกลือพริกไทย อโรมาดเคี่ยวต่อซักพักให้ซอสเดีอด แล้วใส่เส้นสปาเก็ตตี้ลงไปคลุกให้เข้ากัน แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วค่ะ
ครีมซอส
1 ใส่เนยประมาณ 15 กรัม ในกระทะผัดให้ละลาย แล้วเติมแป้งอเนกประสงค์ 15 กรัม ผัดเร็วๆประมาณ 1 – 2 นาที
2 เติมน้ำสต็อก ( ไก่ หรือ หมู ) 100 มล। คนเร็วๆ เพื่อให้แป้งไม่จับเป็นก้อน
3เติมครีม หรือ นม เพื่อให้ได้ความข้น เหลวตามชอบ
4ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย (ขาว)
ส่วนเนื้อสัตว์จะใช้แฮม หรือ ซีฟู้ด ในนำไปผัดกับเนยและหอมแดงให้สุกก่อนแล้วนำมาคลุกกับเส้นและซอส
มีอีกสูตรนะคะไม่ต้องทำครีมเองให้ยากค่ะส่วนผสม
1วิปปิ้งครีมเป็นกล่องที่ทำอาหาร (คนละอย่างกับที่ทานกับผลไม้หรือไอศครีม) หาซื้อได้ตามห้างทั่วไป
2เบค่อน
3เกลือ
4พริกไทยดำป่น
5ไข่ไก่
วิธีทำ
1หั่นเบค่อน แล้วนำไปทอดให้กรอบเหลืองใส่กระเทียม ห้ามไหม้เด็ดขาด ตักขึ้นพักไว้
2ต้มสปาเก็ตตี้ให้สุก ถ้าจะให้ดีเป็นยี่ห้อนอกนะคะ
3นำสปาเก็ตตี้ที่ได้ไปผัดใส่เนย และครีม
4นำเบค่อนทอดกรอบคลุกเคล้าให้ทั่ว
5ใข่ไก่ แล้วแต่ถ้าปริมาณสปาเก็ตตี่น้อยก็ใส่ไข่ 1 ฟอง
6เติมเกลือพอประมาณ ตามด้วยพริกไทยดำป่น ตักเสริฟอร่อยอย่าบอกใครเชียว
สปาร์เก็ตตี้ซอสครีมต้มยำ
เครื่องปรุง
วิธีทำ
สูตรไข่เจียวผักโขมชีส
สูตรไข่เจียวผักโขมชีส
ส่วนผสมไข่ไก่ 1 ฟอง
ซอสหอยนางรมตราแม็กกี้ 2 ช้อนชา
เนื้อหมูสับ 1 ช้อนโต๊ะ
ผักโขมซอย 1 ช้อนโต๊ะ
มอสซาเรลลาชีส หั่นชิ้นเล็กๆ 1ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืชสำหรับทอด
วิธีทำ
1ตอกไข่ ใส่ภาชนะ ตามด้วยซอสหอยนางรมตราแม็กกี้ หมูสับ มอสซาเรลลาชีส และ ผักโขม ตีพอส่วนผสมเข้ากันดี
2ใส่น้ำมันพืชลงกระทะพอร้อน นำส่วนผสมลงทอดไฟปานกลางพอสุกเหลืองทั้งสองด้าน
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
เครป
แป้งสาลีเอนกประสงค์ร่อนแล้ว 1 ถ้วย
ไข่ไก่ 2 ฟอง
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1/8 ช้อนชา
นมสด 1 ถ้วย
เนย 1/4 ถ้วย
1. ผสมเกลือ แป้ง น้ำตาล เข้าด้วยกันในอ่างผสม ตีไข่กับนมเข้าด้วยกัน ใส่ลงในอ่างแป้ง ตีให้เข้ากันโดยใช้ที่ตีไข่ จนแป้งเป็นเนื้อเดียวกัน
แยมสตรอเบอรี่ 1 ถ้วย
บรั่นดี 1 ช้อนโต๊ะ
ผสมแยมกับบรั่นดี คนให้ทั่วจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน พักไว้
แอปเปิลหั่นสี่เหลี่ยมเล็ก 1 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำ 1/4 ถ้วย
เคล้าแอปเปิลกับน้ำมะนาว พักไว้ เคี่ยวน้ำตาลกับน้ำ พอเป็นน้ำเชื่อมใส ใส่แอปเปิล ตั้งไฟอ่อน พอแอปเปิลนุ่มตักออกใส่ถ้วย
น้ำส้มคั้น 1/2 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
เนยสด 1/2 ถ้วย
ผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ใส่ลงในหม้อ ตั้งไฟกลาง คนตลอดเวลาจนเป็นครีม
1 ตักไส้แอปเปิลในน้ำเชื่อม หรือไส้ซอสส้ม ใส่ตรงกลางแผ่นแป้งเครป แล้วจึงม้วน
วิธีทำ ช๊อกโกแล็คฟองดู กับผลไม้แสนอร่อย
ผลไม้สดที่คุณชื่นชอบ เช่น องุ่น สตรอเบอรี่ แอปเปิ้ลดาร์คช็อคโกแลตรสขมอมหวานหักเป็นชิ้นเล็กๆ
วิธีทำ
วิปปิ้งครีม
เนยเหล้ารัม,บรั่นดี(ตามชอบ)
200 กรัม
150 มล. 2 ช้อนชา
1 ช้อนโต๊ะ
1.หั่นผลไม้เป็นชิ้นเล็กและหนา เรียงใส่จานและนำไปแช่เย็น
2.ผสมช็อคโกแลต ครีมและเนยในชามเก็บความร้อน ยกตั้งไว้บน กระทะที่ต้มน้ำเดือดเอาไดว้ หมั่นคนเป็นครั้งคราว จนช็อคโกแลต เริ่มละลาย และส่วนผสมเริ่มเข้ากันได้ดี ใช้เวลาประมาณ 6-8 นาที จนเนื้อช็อคโกแลตเหลว
3. แบ่งฟองดูใส่ในชามใบเล็ก ทำเป็นส่วนผสม วางเสิร์ฟคู่กับผลไม้ที่หั่นแช่เย็นไว้
**คำแนะนำ เพิ่มสีสันในมื้ออาหรนี้โดยผสมเหล้าเบลี่ (Bailey's liquer เป็นวิสกี้ของชาวไอริช มีกลิ่นหอมของช็อคโกแลตและครีม) ประมาณครึ่งหนึ่งของครีม คุณอาจจะลืมเนยไปได้เลยเมื่อใช้นมช็อคโกแลตคุณภาพดีแทนดาร์คช็อคโกแลต
ข้อมูลจาก อร่อย.คอม
ควันบุหรี่ทำให้สุขภาพจิตเสีย
เคล็ดลับลดต้นขาอย่างได้ผล
เคล็ดลับลดต้นขาอย่างได้ผล (Woman's Story)
ปัญหาต้นขาใหญ่ นับว่าสร้างความกังวลใจให้สาว ๆ ทั้งหลายซะจนไม่กล้านุ่งสั้นกันไปเลย...และต่อไปนี้เป็นวิธีการกระชับเรียวขาให้สวย เล็กลงอย่างใจปรารถนา แบบไม่อันตราย มีวิธีไหนบ้างไปดูกัน
ว่ายน้ำ
เพราะการว่ายน้ำ ช่วยให้บริหารได้ทุกสัดส่วนของร่างกาย รูปร่างดูเพรียวลงแล้วยังแข็งแรงขึ้นอีกด้วย โดยท่าที่ช่วยลดต้นขาได้มากที่สุดก็คือ ท่าฟรีสไตล์ ซึ่งคุณต้องตีขาควบคู่ไปกับการว่ายน้ำ ใครที่ต้องการเห็นผลเร็ว ๆ แนะนำให้เหยียดมือตรง ๆ เกาะขอบสระ แล้วตีขาสลับกันไปมา ทำจนรู้สึกเหนื่อยจึงพัก แล้วทำซ้ำอีกสัก 10 เที่ยว จะรู้สึกว่าร่างกายเผาผลาญช่วงต้นขาให้เพรียวลงได้
การบริหารร่างกาย มีให้เลือกทำกัน 3 ท่า ได้แก่
ท่านอน
โดยหาผ้าปู หรือเบาะรองนั่งมารองก้น เพื่อรับน้ำหนักและป้องกันการเจ็บก้น นอนหงายไปกับพื้น จากนั้นยกขาขึ้นทั้งสองข้างขึ้นเหยียดตรง ค้างเอาไว้ แยกขาออกจากกันไปทางด้านข้างแล้วหุบขา ทำซ้ำไปมา 20 ครั้ง และปิดท้ายด้วยการปั่นจักรยานกลางอากาศ อย่างน้อย 80 ครั้ง
ท่านั่ง
ให้นั่งเหยียดขาให้ตรง แล้วยกขาขึ้นจากพื้นเล็กน้อย โดยสลับขาซ้าย- ขวา อย่างน้อย 100 ครั้ง
ท่ายืน
ยืนหันข้างให้กับกำแพง วางมือบนกำแพง เหยียดขาข้างที่ไม่ได้ชิดกำแพง ยกขึ้นมา 90 องศา ด้านหน้าพยายามให้ขนานกับพื้น ทำอย่างน้อย 10 ครั้ง ต่อด้วยการยกขาขึ้นทางด้านข้างและด้านหลัง อย่างละ 10 ครั้งเหมือนกัน จากนั้นเปลี่ยนเป็นขาอีกข้างหนึ่ง ทำซ้ำ ๆ เหมือน
ทีนี้ก็ไม่ต้องกังวลกับปัญหาต้นขาใหญ่อีกต่อไป หากคุณทำตามคำแนะนำเป็นประจำสม่ำเสมอล่ะก็ รับรองได้เลยว่า ต้นขาของคุณจะลดลงได้อย่างทันตาเห็น
วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
งามหน้า! ไทยที่ 7 ของโลก ขโมยของในห้าง
วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553
จาก น้ำตกภูลังกา เราเดินขึ้นมาตามทางอีกแค่ไม่กี่อึดใจ ก็เจอกับต้นไม้ขนาดใหญ่มากที่ไม่อาจต้านทานแรงลม ล้มลงอย่างที่ผมและใครที่เห็นต่างบอกว่าไม่น่าจะล้มเลย ต้นนี้คงอยู่เป็นเพื่อนฟ้ามานานเนิ่นแน่ ๆ ผมเดินไปสำรวจกล้วยไม้และพรรณไม้ต่าง ๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่บนเรือนยอดสูงลิบจนเราต้องแหงนกันคอตั้งบ่า แต่ตอนนี้ลงมาอยู่บนพื้นดินให้เราได้ลองสอดส่องดู ในที่สุดก็เจอกับกล้วยไม้สีขาวขนาดเล็ก ที่อาจจะเป็นช่อสุดท้ายของฤดูกาลนี้แล้ว เนื่องจากกออื่น ๆ ได้ติดฝักไปหมดแล้ว ผมยืนมองดอกไม้ชนิดนี้ด้วยความสุขใจ ก่อนจะจัดการกางขาตั้งกล้องและติดเลนส์มาโคร เพื่อบันทึกภาพระยะใกล้เอาไว้ สำหรับกล้วยไม้เล็ก ๆ ดอกสีขาวที่เราเห็นอยู่นี้มีชื่อว่า เอื้องนิ่มน้อย (Eria globulifera)
เรานั่งพักให้หมอกที่ลอยขึ้นมาจากหุบเขาห่อหุ้มร่างกายและหัวใจ "ไอ้ก้านเขียวตรงแท่นเทวดาน่ะ เค้าเรียกหอมชู มีที่เดียวเฉพาะตรงนี้ อย่างที่หัวหน้าบอกเมื่อวานไง" พี่หนุ่มน้อย เจ้าหน้าที่วนอุทยานภูลังกา ซึ่งขึ้นมากับเราชี้ให้ดูพืชชนิดหนึ่ง ที่เชื่อกันว่าพบเพียงจุดนี้เท่านั้น ในพื้นที่บริเวณนี้ลากยอดดอยเราเดินต่อไปยังลานหินล้านปี ซึ่งในเวลานี้ช่างแสนงดงาม เพราะบนก้อนหินเต็มไปด้วยสีชมพูหวานฉ่ำของดอกเทียนดอย และดอกสีขาวของตาเหินไหว รวมไปถึงมอสสีเขียวสดใสคล้ายกับปูพรมไว้บนก้อนหินก็มีปาน ยิ่งอยู่ภายได้ม่านหมอกด้วยแล้ว คล้ายจะทำให้ความงามเพิ่มขึ้นอีกมากนัก พวกเราช่วยถ่ายภาพกันหลายมุมตามใจต้องการ โดยแต่ละมุมก็ช่างอ่อนหวานยิ่งนัก สำหรับบริเวณนี้ หากมาในช่วงฤดูหนาวก็สามารถพบดอกไม้ต่าง ๆ สลับหมุนเวียนกันไป นอกจากนี้ ที่นี่ยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
แสงแรกเริ่มส่องผ่านทิวเขาทางตะวันออก เงาตะคุ่มดำของแท่งหินปูบริเวณบ้านห้วยเฟือง เห็นชัดเจนขึ้นจนดูคล้ายกับจะลอยอยู่เหนือท้องทะเลก็มิปาน จากการมองผ่านเลนส์เทเลโฟโต ผมเห็นสายหมอกเป็นริ้วเคลื่อนไหวไปอย่างเอื่อยช้า ตามความแผ่วของสายลมที่พัดพลิ้วอยู่ในหุบเขาเบื้องล่าง ผมยืนมองแสงยามเช้าที่เริ่มสาดแสงสีเหลืองทองลงบนผืนทะเลหมอกสีขาว ของธรรมชาติทำให้เราอิ่มเอมหัวใจยิ่งนัก
ติดต่อ
ระวัง...สะอาดเกินไปทำลายสุขภาพ
ระวัง...สะอาดเกินไปทำลายสุขภาพ (Lisa)
ใช้วิธีทำความสะอาดด้วยธรรมชาติ ดีต่อสุขภาพมากกว่านะ
แม่บ้านที่กลัวเชื้อโรคมักใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรง แต่ ดร। ฟริดริช เฮล์ม จากสถาบันสุขศาสตร์และสิ่งแวดล้อมในเมืองฮัมบวร์ก ประเทศเยอรมนี กล่าวเตือนว่า การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่รุนแรงในการล้างห้องน้ำ อ่างล้างหน้า พื้น ฯลฯ จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
นอกจากนี้ น้ำยาทำความสะอาดที่แรงเกินจะส่งผลให้เป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น และภูมิต้านโรคของร่างกายจะไวกับสิ่งแปลกปลอม เช่น ละอองเกสรดอกไม้ ฟาง ผิวแพ้ง่าย และหากใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคบ่อย ๆ เชื้อแบคทีเรียก็จะเคยชินกับน้ำยา และไม่สะดุ้งสะเทือนกับน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่นเดียวกับการใช้ยาปฎิชีวนะบ่อย ๆ ก็จะทำให้เชื้อโรคดื้อยานั่นเอง
ข้อแนะนำคือ ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรง น้ำยาฆ่าเชื้อโรคมีประโยชน์ในบางกรณี เช่น เมื่อมีคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคติดเชื้อที่อันตราย (เช่น ไข้หวัดใหญ่) การทำความสะอาดพื้นและสิ่งสกปรกด้วยผงซักฟอกหรือสบู่ธรรมดา ๆ ก็เพียงพอ
การทำความสะอาดคราบต่าง ๆ ในห้องครัวหรือห้องน้ำให้ใช้น้ำส้มสายชูหรือน้ำผสมน้ำส้มสายชู (น้ำส้มสายชูหนึ่งช้อนโต๊ะผสมกับน้ำหนึ่งลิตร) คราบไขมันที่แก้วและกระจกให้ใช้แอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น 60% ทำความสะอาด หรือผสมกับน้ำ 1 : 1 ส่วนสำหรับล้างขวด
Honey Heal เยียวยา 20 โรคภัยด้วยความหวาน
Honey Heal เยียวยา 20 โรคภัยด้วยความหวาน (Twenty-four Seven)
มะเร็ง ตับแข็ง และอาการเรื้อรังต่าง ๆ ในช่องท้อง คือสิ่งที่คน พ।ศ।นี้หวาดระแวงมากที่สุด บ่อยครั้งที่หลายคนยังอยู่กับความวิตกกังวลอย่างไม่มีทางเลือก และไม่มีวิธีป้องกันภัยให้ตัวเอง แต่วันนี้ เงื่อนไขสุขภาพของพวกเราจะเปลี่ยนไป ด้วยน้ำผึ้งเพียงขวดเดียว และนี่คือคุณประโยชน์มหาศาลจากความหวานที่ไม่เป็นลม แต่ให้สรรพคุณเหมือนความขม
Honey Benefit
น้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำประมาณร้อยละ 20 น้ำตาลชนิดต่าง ๆ เช่น กลูโคส ฟรุกโตส และลีวูโลส ประมาณร้อยละ 79 โดยมีปริมาณน้ำตาล "ฟรุกโตส" มากกว่าน้ำตาล "กลูโคส" เล็กน้อย ทำให้น้ำผึ้งไม่ตกผลึก กรดชนิดต่าง ๆ ประมาณร้อยละ 0।5 ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวเล็กน้อย โดยกรดที่พบมาก คือ กรดกลูโคนิก วิตามิน เอนไซม์ และแร่ธาตุแคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส ประมาณร้อยละ 0.5 โดยน้ำผึ้งที่มีสีเข้มจะมีปริมาณแร่ธาตุสูงกว่าน้ำผึ้งที่มีสีอ่อน น้ำผึ้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 303 แคลอรี
น้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางยาคือ สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่าง ๆ ได้ เพราะมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง ช่วยกำจัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียใช้ในการเจริญเติบโต รวมถึงน้ำผึ้งมีความเป็นกรดสูง และมีปริมาณโปรตีนต่ำ ซึ่งทำให้แบคทีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็น นอกจากนี้ น้ำผึ้งยังมีสารไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งด้วย ดังนั้น เมื่อเราใช้น้ำผึ้งทาบาดแผลจึงสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ และทำให้แผลไม่เกิดการอักเสบ ปัจจุบันได้มีการพิสูจน์และใช้กันอย่างกว้างขวาง ทั้งในวงการแพทย์อเมริกาและยุโรป รวมทั้งเป็นหนึ่งในกระสายยาสำคัญในหลายประเทศของเอเชีย ทั้งจีน ญี่ปุ่น และประเทศไทย
Honey Use
กำจัดสารเคมีและปลุกชีวิตเส้นผม
หลังสระผมเสร็จ นำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน 3 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำมันมะกอก 3 ช้อนโต๊ะ ชโลมผมแล้วทิ้งไว้ 5 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมจะนิ่มและเงางามตามธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีใด ๆ
แก้ไอ หลอดลมอักเสบ กำจัดเสมหะ
ตำกระเทียม 1-2 กลีบให้ละเอียด ผสมกับน้ำมะนาวครึ่งช้อนโต๊ะ เกลือเล็กน้อย พิมเสน หรือการบูร 2-3 เกล็ด และน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะกวาดคอทุกชั่วโมง
กำจัดทุกปัญหาเรื่องท้อง ๆ
ท้องอืด ท้องเฟ้อ : ผสมน้ำผึ้งครึ่งช้อนโต๊ะกับน้ำขิงเข้มข้นครึ่งถ้วย เกลือเล็กน้อย ดื่มวันละ 3 เวลาหลังอาหาร
ท้องผูก : ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำอุ่นดื่มก่อนนอน
ท้องเสียรุนแรง : ผสมน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ เกลือครึ่งช้อนชา และน้ำอุ่น 1 แก้ว จิบระหว่างวัน
โรคกระเพาะ : ดื่มน้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะขณะปวด และ 3 ช้อนโต๊ะก่อนนอน
ล้างแผล แผล ฝี หนอง แผลเรื้อรัง
สูตรชะล้างแผล : ผสมน้ำผึ้ง 1 ส่วน น้ำ 9 ส่วน
บรรเทาฝี : โขลกหัวหอมแดง 2 หัวให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้งครึ่งช้อนโต๊ะ พอกบนหัวฝี แล้วใช้สำลีหรือผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดบริเวณแผล
แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ถูกท่อไอเสีย : ใช้ผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดแผล เปลี่ยนทุก 12 ชั่วโมง
ริดสีดวงทวาร : ดื่มน้ำผึ้งผสมกระเทียมโทน วันละ 3 ครั้งหลังอาหาร
บรรเทาอาการตับแข็งจากสุรา
ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำครึ่งแก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้งเป็นประจำ และดื่มน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะก่อนนอน
ปวดหลัง...ป้องกันได้
ปวดหลัง...ป้องกันได้ (Lisa)
มีคนเป็นจำนวนไม่น้อยที่มักมีอาการปวดหลัง ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือการป้องกัน Lisa Guru มีเคล็ดลับป้องกันอาการปวดหลังให้คุณค่ะ
อย่าหักโหม
การใช้ร่างกายอย่างไม่บันยะบันยัง และมีจิตใจหมกมุ่นครุ่นคิดตลอดเวลา จะทำให้กระดูกสันหลังอ่อนแอ ทำให้กล้ามเนื้อแข็งกระด้าง และจะส่งผลให้เกิดความเจ็บปวด ข้อแนะนำก็คือ คุณควรมีจุดมุ่งหมายในแต่ละวัน เพื่อจะได้ไม่ทำอะไรที่มากเกินไปจนสับสนวุ่นวาย
อย่าก้าวร้าว
หากคุณเป็นคนที่ตื่นเต้นง่าย ชอบโวยวายก็จะมีความก้าวร้าวง่าย และหากมีความโกรธเกรี้ยวในอารมณ์ก็จะทำให้กล้ามเนื้อตึงเครียด ข้อแนะนำก็คือ พยายามฝึกสมาธิ รู้จักอดกลั้น หรือออกกำลังกายสม่ำเสมอก็จะช่วยผ่อนคลายได้
อาหาร
การกินอาหารให้สมดุลนอกจากจะช่วยลดน้ำหนักแล้ว ยังช่วยป้องกันข้ออักเสบเรื้อรัง และป้องกันไม่ให้มีกรดยูริกมากเกินไป ซึ่งจะทำให้ปวดไขข้อได้ ฉะนั้นในตารางอาหารก็ควรมีอาหารประเภท ข้าวกล้อง เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ปลา ผักและผลไม้ ส่วนอาหารที่ควรกินให้น้อยก็คือ เนื้อสัตว์ติดมัน ไส้กรอก แอลกอฮอล์ น้ำตาล น้ำมันสัตว์ ผลิตภัณฑ์แป้งขัดขาว และดื่มน้ำวันละประมาณ
อย่าปล่อยให้อ้วน
น้ำหนักตัวแต่ละกิโลที่เกินตาชั่ง จะทำให้หลังต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบถึงข้อต่อ เส้นเอ็นและกระดูก และแต่ละกรัมที่มากเกินที่หน้าท้อง สะโพกและก้นจะเพิ่มความกดดันที่กระดูกสันหลัง
ออกกำลังกาย
การไดเอ็ตนาน ๆ ไม่ช่วยให้ลดน้ำหนักได้สำเร็จ ดังนั้น คุณจึงควรเปลี่ยนพฤติกรรมที่เคยชิน เช่น เดินให้มากแทนการนั่งรถหรือขี่จักรยาน และอย่างน้อยที่สุดควรออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ๆ ละอย่างน้อยที่สุด 20 นาที เช่น เดินเร็ว จ็อกกิ้ง ขี่จักรยาน
ยืดกล้ามเนื้อ
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควรทำควบคู่ไปกับการยืดกล้ามเนื้อ ข้อแนะนำก็คือ หลังออกกำลังกายควรยืดกล้ามเนื้อทุกส่วน
ไม่เครียด
หากคุณเป็นคนชอบทำสามสิ่งพร้อมกัน ก็ควรหยุดพฤติกรรมนี้เสีย เพราะการมีความเครียดมากเกินไปจะทำให้ป่วยโดยเฉพาะอาการปวดหลัง
นอนหลับพักผ่อน
ความต้องการในการนอนหลับของแต่ละคนต่างกัน ที่สำคัญคือขณะนอนหลับ ร่างกายได้พักผ่อนจากความตึงเครียดในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ หมอนรองกระดูกยังซ่อมแซมตัวเองด้วย
มีความสุขกับชีวิต
ความผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ เป็นสิ่งสำคัญในการลดความตึงเครียดจากชีวิตประจำวัน ก็จะป้องกันอาการปวดหลังได้ เช่น เดินเล่น ร้องเพลง เต้นรำ พบปะเพื่อนฝูง
ฟังเสียงภายในร่างกาย
อาการเจ็บป่วยทางร่างกายมักเกิดจากปัญหาด้านจิตใจ กระดูกสันหลังเชื่อมโยงกับกล้ามเนื้อและเส้นประสาท ดังนั้น คุณจึงควรเชื่อฟังร่างกายของคุณ เมื่อเกิดเมื่อยล้าก็ต้องหยุดพัก ผ่อนคลายหรือหิวก็ต้องกิน
3 วิธี รับมือข้อผิดพลาดในการทำงาน
วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553
คลายสายตาเมื่อยล้า จากการจ้องคอมพิวเตอร์
การบริหารทั้งสามส่วนนี้จะช่วยให้คุณสามารถมองภาพต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น สิ่งแรกที่ต้องทำเลยก็คือ วางมือจากแป้นคอมพิวเตอร์ หลบหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ทุก ๆ 1 ชั่วโมง จะดีที่สุด
1 การบริหารลูกตา
หลับตาใช้อุ้งนิ้ว ย้ำว่า "อุ้งนิ้ว" นวดเบา ๆ วนรอบตาสัก 1 นาที หรือกะพริบตาถี่ ๆ ทุกการใช้สายตาครบ 1 ชั่วโมง เพราะการกะพริบตา จะช่วยขับฟิล์มน้ำตาออกมาเคลือบตาของเราให้แลดูวิ้ง ๆ ปิ๊ง ๆ ตลอดเวลานั่นเอ
2 การบริหารกล้ามเนื้อตา
กล้ามตาของเรา เป็นส่วนหนึ่งของกล้ามเนื้อต่าง ๆ ที่ต้องการ "การพักผ่อน" มากกว่ากล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ ด้วยซ้ำ เพราะว่าเราต้องใช้กล้ามตาแทบตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนนอน อยากรู้ก็ลองสังเกตตอนคนที่บ้านของคุณหลับดูสิ... ยามที่เขาหลับสนิท เปลือกตาของเขาจะขยุกขยิกไปมา นั่นคือ "ช่วงกลอกตาเร็ว" นั่นเอง เห็นหรือเปล่าว่า ใช้กล้ามตามากจริง ๆ แต่ไม่ต้องห่วง เรามีวิธีการดูแลตาให้สุขภาพดี ด้วยสูตร "จักษุสปา" สไตล์อายุรวัฒน์มาแนะนำกันค่ะ
สูตรจักษุสปา
เริ่มกันตั้งแต่ตื่นนอนเลย ต่อจากนี้ตื่นมาแทนที่จะขยี้ตา เปลี่ยนเป็นเอาตาซุกลงไปกับฝ่ามือเบา ๆ ทิ้งไว้สัก 1 นาที เพื่อเป็นการปรับสายตาให้พร้อมกับการมองเห็นความจริงทุกประการ พอมาถึงที่ทำงาน ทำงานไปได้สักชั่วโมง ลุกขึ้นเดินไปเดินมาบ้าง กะพริบตาเพื่อให้ฟิล์มน้ำตาออกมาเคลือบลูกตา ก่อนพักเที่ยงก็กะพริบตาถี่ ๆ อีกสัก 10 วินาที
ช่วงบ่าย สายตาเริ่มล้า ให้หลับตาปี๋ ๆ เลย แล้วเบิ่งตาโต ทำสลับกันครั้งละ 10 วินาที เป็นเวลาประมาณ 1 นาที หรือจะใช้อุ้งมือนุ่ม ๆ (รอบนี้อุ้งมือนะ!) ของเรากดตาไว้เบา ๆ สัก 1 นาทีก็พอ จะให้สดชื่นสายตาอีกสักหน่อยก็หาผ้าเย็นเช็ดหน้านุ่ม ๆ ชุบน้ำเย็น ๆ มาประคบสายตาของเราไว้ประมาณ 10 นาที จะทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น
ก่อนเลิกงาน หลังจากปิดคอมพิวเตอร์แล้ว ให้นั่งหลับตา หาที่มืดนั่งเงียบ ๆ สักพัก เพื่อเป็นการพักลูกตา และสมองส่วนรับภาพ เมื่อถึงบ้านแล้ว ดูทีวีได้ตามปกติ แต่ไม่ควรปิดไฟทั้งห้องจนมืด เพราะแสงจากทีวีจะจ้ามาก เป็นผลเสียต่อจอตาของเรา ที่สำคัญควรปิดสวิตช์ตาไม่เกิน 5 ทุ่ม นอนพักได้แล้ว
ก่อนเข้านอน ให้ทำการขอบคุณสายตาที่ถูกใช้งานมาทั้งวัน ด้วยการพนมมือทั้งสองขึ้นมา เอานิ้วจรดกัน แล้วเอาอุ้งนิ้วทั้งสองมาประทับกับเปลือกตาที่หลับลง นวดวนเบา ๆ ตามเข็มนาฬิกาสัก 1 นาที หากคนที่ตาแห้งก็เพิ่มเป็น 2 นาที พอตื่นนอนก็วนทำแบบครั้งแรก รับรองงานนี้ "ตาหวานฉ่ำ" แน่ ๆ
3 บริหารสมองรับภาพ
ง่าย ๆ เพียงแค่ "กลอกตา" ไปมา แบบซ้ำ ๆ อย่ารีบ เดี๋ยวตาลาย ให้กลอกจากซ้ายไปขวา และบนลงล่าง ทำท่าแบบนี้เป็นการฝึกสมองไปในตัวด้วยค่ะ
5 พฤติกรรมป้องกันความจำเสื่อม
สาวทำงานทั้งหลายที่วัน ๆ สมองวุ่นวายอยู่ตลอดเวลาไม่เคยได้หยุดพัก ระวังเป็นโรคความจำเสื่อมนะคะ ใครไม่อยากความจำเสื่อมก่อนวัยอันควร ก็ควรทำตาม 5 พฤติกรรมดังต่อไปนี้ค่ะ เรามาดูกันว่ารายละเอียดจะเป็นอย่างไรกันบ้าง...
ทานอาหารเช้าทุกวัน โดยขอให้มีผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และอาหารที่มีโปรตีนสูงรวมอยู่ด้วย
กินทุก ๆ 3 – 4 ชั่วโมง และควรกินคาร์โบไฮเดรตไม่ขัดสี เช่น ธัญพืช หรือผักที่มีแป้ง จำพวกลูกเดือย เผือก มันด้วย
เลี่ยงอาหารไขมันสูง เป็นไปได้ให้กินอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ ก็พอ
กินอาหารตามหมวดแป้ง หรือธัญพืชไม่ขัดสีอย่างน้อยวันละ 6 ส่วน ผักผลไม้วันละ 8 - 10 ส่วน โดยมีผักใบเขียวอย่างน้อย 2 ส่วน อาหารที่มีแคลเซียมสูง 3 ส่วน จะเป็นนมพร่องไขมัน หรือนมเสริมแคลเซียมก็ได้ กินถั่วต่าง ๆ มีปลา 2 มื้อ และอาหารที่มีโคลีนสูง เช่น ถั่วเหลืองเสริมวิตามินบีรวม วิตามินซี และวิตามินอีเพิ่มเติมเลี่ยงแอลกอฮอล์และสารนิโคติน
เลี่ยงอาหารที่ปนเปื้อนสารปรอท ตะกั่ว และโลหะอื่น ๆ
รู้แบบนี้แล้วก็อย่ามองข้ามวิธีดี ๆ ที่นำมาฝากกัน รีบนำไปทำเลยจะได้มีความจำที่ดีเยี่ยมไปอีกนานค่ะ
10 สุดยอดเศรษฐีอายุต่ำกว่า 30 จากธุรกิจไซเบอร์
เมื่ออินเทอร์เน็ตมีบทบาทกับชีวิตคนได้ขนาดนี้แล้ว ธุรกิจออนไลน์จึงเติบโตควบคู่กันไปพร้อม ๆ กัน อินเทอร์เน็ตจึงกลายเป็นปัจจัยที่ทำเงินมหาศาลให้กับนักคิดและเหล่าโปรแกรมเมอร์หลายคนมาแล้วนับไม่ถ้วน จากการคิดค้นโปรแกรมและบริการต่าง ๆ มาตอบสนองความต้องการของนักท่องอินเทอร์เน็ตนั่นเอง
และต่อไปนี้คือโฉมหน้าของนักคิดที่กลายเป็นเศรษฐีจากธุรกิจไซเบอร์ ที่รวยที่สุด 10 อันดับแรกของโลก ที่เว็บไซต์ Complex.com ได้จัดอันดับไว้ค่ะ
2. ดัสติน มอสโกวิทซ์ วัย 26 ปี หนึ่งในผู้สร้าง Facebook คู่หูของซักเกอร์เบิร์ก เขาถือหุ้น 6 เปอร์เซ็นต์ และครองตำแหน่งผู้บริหารอีกคนของ Facebook ส่วนรายได้ของเขาน่ะหรือ ตอนนี้อยู่ที่ 1,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
3. เบลค รอส วัย 25 ปี ประสบความสำเร็จจากการพัฒนาเว็บบราวเซอร์คุณภาพอย่าง Firefox ขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ.2004 จนเป็นที่นิยมกันไปทั่วโลก ด้วยยอดคนดาวน์โหลดกว่า 100 ล้านครั้งในเวลาไม่ถึงปี และนั่นทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีร้อยล้านตั้งแต่อายุได้เพียง 19 ปีเท่านั้น รายได้ของเขาอยู่ที่ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
4. นาวีน เซลวาดูไร วัย 28 ปี ผู้สร้างสรรค์ Foursquare แอพลิเคชั่นเครือข่ายออนไลน์ที่ผสม Social Network เข้ากับสถานที่ ที่ทำให้ผู้ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ทั้งหลายสามารถระบุสถานที่ที่ตัวเองอยู่ได้ แอพลิเคชั่นนี้ดึงดูดผู้ใช้งานได้ถึง 275,000 คนในเวลาไม่ถึงปี และบัดนี้มันทำเงินให้เขาได้แล้วถึง 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
5. แอลเจโล่ โซทีรา วัย 28 ปี เจ้าของเว็บไซต์ DeviantArt ที่เป็นศูนย์รวมศิลปะทุกแขนง และเป็นชุมชนศิลปินสาขาต่าง ๆ ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น ปัจจุบันมีสมาชิกแล้วกว่า 11 ล้านคนทั่วโลก ทำรายได้ให้เขาได้ถึง 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
6. อเล็กซานเดอร์ เลวิน วัย 26 ปี เจ้าของเว็บ Imageshack ที่เอาไว้สำหรับฝากรูปที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และมันทำเงินให้เขาไปแล้วกว่า 56 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
แจ็ค นิกเกล
7. แจ็ค นิกเกล วัย 30 ปี ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Threadless ซึ่งเป็นเว็บไซต์ขายเสื้อผ้าที่โด่งดังมาก ๆ โดยตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 เว็บไซต์แห่งนี้ได้ทำรายได้ให้เขาแล้ว 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
8. เซียน เบลนิค วัย 23 ปี ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Bizchair.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ขายเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ทั้งในออฟฟิศและบ้าน ปัจจุบันเขามีรายได้กว่า 42 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
9. แมตต์ มุลเลนเวก วัย 26 ปี ผู้ก่อตั้ง wordpress โปรแกรมสำหรับสร้างบล็อกที่สะดวกต่อการใช้งาน ปัจจุบันทำรายได้ให้เขาถึง 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
10 โอดาน คัลเลน วัย 27 ปี เจ้าของ Statcounter ซึ่งเป็นตัววัดสถิติการเข้าชมเว็บไซต์ที่เป็นที่นิยมมากในขณะนี้ โดยมีสมาชิกกว่า 1.5 ล้านคน และสร้างรายได้ให้เขาได้ถึง 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
และนั่นก็คือ 10 อันดับมหาเศรษฐี อายุน้อยกว่า 30 ที่ทำเงินจากธุรกิจไซเบอร์ได้มากที่สุดในโลก งานนี้ใครอยากเป็นเศรษฐีกับเขามั่งคงต้องลองคิดอะไรแปลกใหม่และโดนใจนักท่องเน็ตออกมาดู เผื่อจะได้ติดโผในอันดับเศรษฐีแห่งโลกไซเบอร์ในอนาคตก็ได้