วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553















เคลื่อนไหวไปบนเส้นทางแห่งดวงดาวและสายหมอก ภูลังกา (อสท)

หัสชัย บุญเนือง...เรื่อง

หัสชัย บุญเมือง พลากร บุญทาวงษ์...ภาพ


บนเส้นทางแห่งสายลมที่พัดความหนาวเย็นมาจากหุบเขาเบื้องล่าง กับผืนฟ้าเริ่มสางที่ตีนฟ้ายกให้เห็นแรกอรุณ ในขณะที่ดวงดาวบนท้องฟ้ายังคงพราวพร่างระยิบ ดาวประจำเมืองยังคงสกาวอยู่ตรงที่สุดของฟ้าเหนือเทือกเขา ไม่นานนักทะเลหมอกเริ่มเผยให้เห็นความอลังการ หลังจากบ่มความงดงามไว้ภายใต้ความหนาวเย็นของฤดูกาล สีของเวลาขับผ่านไปอย่างเนิบช้า ริ้วหมอกบาง ๆ พลิ้วไปตามท่วงทำนอง และจังหวะแห่งความเคลื่อนไหว เรายืนให้เวลาล่วงผ่านไปพร้อมซึมซับความงดงามของธรรมชาติผ่านสายตาและหัวใจ...


เมื่อแสงแรกของวันเผยให้เห็นทะเลหมอกเบื้องล่างอย่างเต็มตา ความอลังการและงดงามนั้น คงไม่มีคำใดจะบรรยาย แต่อยากให้ไปเห็นด้วยกันที่สุดปลายทางแห่งผืนฟ้า...ภูลังกา



ทางเดินที่ซ่อนบางความหมายไว้หลังสายหมอก

นกปลีกล้วยลายโผเข้าจับปลีกล้วยป่าที่กำลังเผยให้เห็นดอก ก่อนจะสอดเรียวปากที่ยาวโค้งเข้าไปดูดน้ำหวานภายในปลีดอก พร้อมกับหน้าผากที่แต้มเอาเกสรมาด้วย เมื่อมัวไปหาน้ำหวานในดอกต่อไป ก็จะช่วยให้การผสมเกสรเป็นไปอย่างที่ควร ผมนั่งมองนกตัวนี้โผบินอย่างเสรีในยามเช้า ที่สายฝนเพิ่งขาดเม็ดไปไม่นาน บนต้นไม้ใกล้กับระเบียงบ้าน นกไต่ไม้หน้าผากกำมะหยี่ห้อยหัวหาแมลงอย่างปราดเปรียว ไกลออกไป นกปรอดหัวสีเขม่า เกาะยอดไม้ไซ้ขนอาบแดดเช้าอย่างสบาย ๆ ก่อนจะขยับปีกออกบินเมื่อเสียงรถกระบะเคลื่อนเข้ามาใกล้

สมชาติ พวงพะยอม หัวหน้าวนอุทยานภูลังกา ลงมาจากรถคันนั้น หลังจากที่เราทักทายกันพอสมควร เรามีแผนการสำรวจ วนอุทยานภูลังกา รวมถึงการเข้าไปเยี่ยมชมหมู่บ้านของชาวไทยภูเขาเผ่าต่างๆ ในปริมาณนี้ด้วย และหลังจากอาหารเช้าอันแสนอร่อยผ่านไป เราจึงเดินไปแบกสัมภาระขึ้นบนท้ายรถกระบะคันเก่ง เพื่อขับไปจอดไว้ยังปลายสุดเส้นทางลาดยาง ที่ต่อจากนั้นเราจะเดินเท้าขึ้นไปยังยอดภูลังกากัน
จากจุดจอดรถ ทางดินแดงทอดตัวเข้าไปในผืนป่าเขียวเข้มซึ่งห่มคลุมไว้ด้วยผืนหมอก ขึ้นเนินมาได้ไม่กี่สิบเมตรเราก็ได้เจอกับ กล้วยไม้กินซากดอกสีเหลือง กำลังชูช่อส่งดอกขึ้นคลอเคลียอากาศดูงดงาม กล้วยไม้ชนิดนี้มีชื่อเรียกว่า เอื้องแฝงภู (Aphillorchismontana) สำหรับกล้วยไม้กินซากนั้น ทางวิชาการจัดให้เป็นพืชในกลุ่ม Mycoheterotrophic ซึ่งหมายถึงการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตต่างกลุ่มกัน เช่น พืชและรา โดยจะเป็นพืชที่พึ่งราแบบพาราไซต์ หรือราที่อาศัยอยู่ในรากของพืช ซึ่งพืชจะได้รับสารอาหารจากการที่ราย่อยอินทรียวัตถุในบริเวณนั้น ที่สำคัญ พืชและราต้องเป็นคู่ที่จำเพาะเจาะจงเท่านั้น และนั่นคงเป็นการพึ่งพาผูกพันของสรรพชีวิต ในธรรมชาติที่สุดแสนวิเศษของสิ่งมีชีวิตทั้ง 2 ชนิดนี้ เราอาจจะเป็นได้เพียงผู้สังเกตหรือเฝ้ามองธรรมชาติเท่านั้นเอง และในบางความหมาย เราคงไม่อาจเข้าใจพวกเขาได้อย่างแท้จริง เหมือนในบางราวที่ตัวเราเองยังไม่อาจทำความเข้าใจตัวเองได้ทั้งหมด
ตามเส้นทางเดินที่มุ่งสู่เบื้องหน้า เรายังคงพบกับกล้วยไม้ชนิดนี้อีกหลายสิบต้น และในบางบริเวณก็อยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่อย่างน่ามหัศจรรย์ ความงดงามของบางชีวิตที่กำเนิดในช่วงฤดูฝน มีให้เห็นเพียงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ต่อปีเท่านั้น และนั่นก็เป็นเหมือนเกราะคุ้มครองความหมายอันซ่อนเร้น ภายใต้เม็ดน้ำที่รวมกลุ่มกันจนเป็นหมอกเหมย ช่วยปกคลุมให้ป่าดูลี้ลับและชวนค้นหา
มิตรภาพก็เช่นกัน อาจจะเลือนหายไปกับสายหมอก หรือจะแจ่มชัดภายใต้สายหมอก ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับหัวใจของแต่ละคนที่ส่งผ่านออกมาโอบอุ้มกันและกัน

สายน้ำ...อณูแห่งการเติมเต็มของฤดูกาล
ลมแผ่ว ๆ กับความขึ้นและความหนาวเย็นส่งผ่านร่องหุบและสายห้วยมาคลุมทุกอณู ดอกเทียนดอย (Impatiens violaeflora) กลุ่มใหญ่ส่งสีม่วงสวยสุดของกลีบดอก ออกมาแบ่งบานและแบ่งปันความรู้สึกให้เต็มอิ่ม ในเวลาที่เหนื่อยล้า 2 ชั่วโมงแล้ว ที่เราผ่านเนินชันขึ้นมา การได้หยุดถ่ายภาพดอกไม้ แมลง หรือผืนป่าสวย ๆ ทำให้เราเดินกันอย่างสนุกสนาน หัวหน้าสมชาติเดินขึ้นแนะนำสมุนไพรต่าง ๆ พร้อมสรรพคุณให้เราได้รู้จักกันมากมาย ในที่สุดสิ่งที่เราไม่อาจจะหลีกเลี่ยงคือสายฝน ก็โปรยสายลงมาอย่างไม่ขาดเม็ด
เราวางกระเป๋าไว้ตรงขอนไม้บริเวณทางแยกก่อนจะตัดเข้าสู่ผืนป่า เพื่อไปยัง น้ำตกภูลังกา สายหมอกยังคงห่มคลุมไปทุกตารางนิ้ว และขณะที่เรากำลังเดินลงไปตามความชันของหุบห้วย สายฝนห่าใหญ่ก็ถั่งโถมลงมา เรายืนคอยให้ฝนชาจนเปียกปอนไปหมด เพราะอุปกรณ์กันฝนได้นำไปกันกล้องเสียหมด ในที่สุดเราก็สามารถถ่ายภาพ น้ำตกภูลังกา มาได้ โดยใช้ผ้ากันฝนมาคลุมไว้ เพื่อไม่ให้กล้องและเลนส์ได้รับน้ำมากจนเกินพอดี และยามนี้ น้ำตกภูลังกา กำลังงดงามอย่างพอเหมาะเลยทีเดียว เพราะมีน้ำเต็มหน้าผาไหลชุ่มฉ่ำ ผสานกับสายหมอกที่ห่มคลุมอยู่เหนือผืนป่าดิบเขา นับได้ว่าเป็นความอ่อนหวานของธรรมชาติอย่างแท้จริง บางคราวการได้มองอะไรนิ่ง ๆ นาน ๆ ก็ทำให้เห็นอะไรมากกว่าที่ตาเห็นอีกหลายอย่าง ขอเพียงชีวิตไม่ฉาบฉวยจนเกินไปก็น่าจะเพียงพอแล้ว
สายฝนและความชุ่มฉ่ำได้สร้างความขึ้นให้กับผืนป่า และสร้างชีวิตที่หลากหลายให้กำเนิดขึ้นในห้วงกาลนี้ ลูกไม้จากช่วงแล้งที่รอดจากการกัดแทะของสัตว์ต่าง ๆ มาแล้ว ก็พร้อมสำหรับการแตกหน่อช่อใบในยามที่ความขึ้นทำให้ดินไม่หมาดน้ำ เปลือกแข็งของลูกไม้เริ่มอ่อนนุ่มเมื่อถูกน้ำหุ้มและอ่อนยวบ จนสามารถแทงออกมาจากแกนกลางของเมล็ดได้ไม่ง่ายเลยที่หนึ่งชีวิตจะสามารถเติบโตได้ในผืนป่ากว้าง หากเรามองเห็นการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขเป็นสิ่งที่ดี การอยู่ร่วมกันแบบเบียดเบียนของธรรมชาติ ก็เป็นสิ่งที่เราต้องรับให้ได้ด้วยเช่นกัน ไม่มีสิ่งใดจะเสียไปทั้งหมด หรือเกิดมาเพื่อทำความเลวร้ายให้แผ่นดินแต่เพียงอย่างเดียว

จาก น้ำตกภูลังกา เราเดินขึ้นมาตามทางอีกแค่ไม่กี่อึดใจ ก็เจอกับต้นไม้ขนาดใหญ่มากที่ไม่อาจต้านทานแรงลม ล้มลงอย่างที่ผมและใครที่เห็นต่างบอกว่าไม่น่าจะล้มเลย ต้นนี้คงอยู่เป็นเพื่อนฟ้ามานานเนิ่นแน่ ๆ ผมเดินไปสำรวจกล้วยไม้และพรรณไม้ต่าง ๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่บนเรือนยอดสูงลิบจนเราต้องแหงนกันคอตั้งบ่า แต่ตอนนี้ลงมาอยู่บนพื้นดินให้เราได้ลองสอดส่องดู ในที่สุดก็เจอกับกล้วยไม้สีขาวขนาดเล็ก ที่อาจจะเป็นช่อสุดท้ายของฤดูกาลนี้แล้ว เนื่องจากกออื่น ๆ ได้ติดฝักไปหมดแล้ว ผมยืนมองดอกไม้ชนิดนี้ด้วยความสุขใจ ก่อนจะจัดการกางขาตั้งกล้องและติดเลนส์มาโคร เพื่อบันทึกภาพระยะใกล้เอาไว้ สำหรับกล้วยไม้เล็ก ๆ ดอกสีขาวที่เราเห็นอยู่นี้มีชื่อว่า เอื้องนิ่มน้อย (Eria globulifera)
บ่อยครั้งที่เราใช้เวลาอย่างรวดเร็ว และเร่งรีบกับการเพียงไปให้ถึงจุดหมาย โดยหลงลืมความหมายที่ซ่อนไว้สองข้างทาง คราวนี้การเดินเท้าไปอย่างช้า ๆ ภายใต้ร่มเงาและความชุ่มฉ่ำของผืนป่าทำให้ได้เห็นอะไรมากมาย ซึ่งนั่นเป็นการเติมเต็ม บางความหมายให้ชีวิตได้เป็นอย่างดี และคงอาจจะเป็นเช่นเดียวกับธรรมชาติในแต่ละฤดูกาล ที่ต่างเติมเต็มกันและกันด้วยบางความหมายเช่นกัน...

บนหนทางแห่งภูเทวดา
บรรยากาศระหว่างทางเดินเท้าสู่ยอดภูลังกา ทำให้เราได้พบสิ่งต่าง ๆ ที่หลอมรวมกันเป็นผืนป่ามากมาย เราได้ความรู้จากการแลกเปลี่ยนกันของเพื่อนร่วมทาง หลังมื้อเที่ยวกันเองแบบง่าย ๆ กับอาหารที่เตรียมมา เราเดินกันต่อไปอีกราว 2 ชั่วโมง ก็ถึงบริเวณศาลาแปดเหลี่ยมซึ่งตั้งอยู่ทางขึ้นยอดภูลังกา โดยจุดนี้เราจะใช้เป็นแหล่งพักกายในช่วงคืนนี้
"ผมว่าสายหมอกไหลอย่างนี้ ภาพเคลื่อนไหวถ่ายทอดออกมาได้สวยเลย" ยิ่งยศ จักรสาน เพื่อนผู้อ่อนไหวกับสรรพชีวิตบนผืนโลกมากกว่าตัวเองให้ความเห็น ก่อนจะหยิบกล้องคอมแพ็กต์ระดับสูงออกไปยืนบันทึกภาพเหล่านั้น เพราะเพื่อนผมคิดจะทำสารคดีสนุก ๆ สไตล์อินดี้สักเรื่อง เอาไว้ชมความเคลื่อนไหวและลื่นไหลไปตามองศาแห่งเวลา
แสงตะวันยามบ่ายแก่ ๆ พอจะส่งอออกมาได้บ้างแล้ว ฝูงนกป่าบินเริงร่าออกมาตากปีกและหาอาหาร ผมยืนมองนกบินอย่างล่องลอย ไม่ต้องคิดว่าจะได้เห็นหรือได้ยินอะไร ได้แต่มองตามที่ใจคิด มองความเลื่อนไหวของปลายปีก ผมไม่มีคำถามหรือคำตอบแทนสิ่งมีชีวิตที่กำลังไปเหมือนไร้ทิศทาง มีแต่คำตอบให้กับความสุขของตัวเองในเวลานี้เท่านั้น ซึ่งเพียงเท่านี้ก็คงจะพอแล้ว สำหรับในบางเสี้ยวของเวลา
"สมัยก่อนชาวเขาเผ่าเย้ามาทำไร่ฝิ่นอยู่ด้านหลังดอยนี้ พอช่วงวันขึ้น 15 ค่ำ ก็จะมีแสงส่องออกมาจากยอดดอย จึงรวมตัวกันขึ้นมาดูว่าเกิดจากอะไร พอขึ้นมาถึงยอดดอยก็เห็นว่ามีแท่นหินขนาดใหญ่อยู่ จึงเชื่อกันว่าบนดอยแห่งนี้เป็นที่อยู่ของ ฟินจาเบาะ หรือ เทวดา เลยเรียกกันว่า ภูเทวดา สุดท้ายก็เพี้ยนกันมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็น ภูลังกา อย่างในปัจจุบัน" หัวหน้าสมชาติ บอกเล่าเรื่องราวที่มาของชื่อเทือกดอยแห่งนี้ให้เราฟัง หลังจากดื่มชาเจียวกู้หลานร้อน ๆ พอให้ร่างกายสดชื่นเรียบร้อย

ช่วงเย็นวันนี้ผมและคณะ จะออกเดินเท้าไปยังจุดสูงสุดของภูลังกา เพื่อไปรอชมแสงสุดท้ายของวันอย่างที่เคยขึ้นมา เมื่อคราวที่ลมหนาวยังคงอวลอยู่ในอากาศ ทว่าเพียงคิดก็หมดโอกาสแล้ว เพราะน้ำฟ้าได้ร่วงพรูมาอีกครั้ง ผมจึงเปลี่ยนแนวมานั่งมองธรรมชาตินิ่ง ๆ และพูดคุยกันระหว่างเพื่อน นานพอควรแล้วที่เราไม่ได้เดินด้วยกัน แต่ทุกความหมายระหว่างย่างก้าวที่ผ่านมานั้น ไม่ได้เลือนไปกับเวลาที่ผ่านไปแต่ประการใด ความสุขของการเดินทางอาจจะได้รับมาจากหลายประเด็น และการได้เดินทางกับคนที่มีความละมุนละไมต่อธรรมชาติ ก็คือหนึ่งในนั้น
หลังจากที่แสงสุดท้ายของวันหายไปจากฟากฟ้า พลากร บุญทาวงษ์ ช่างภาพที่มาช่วยมากกว่าการถ่ายภาพ ก็ส่งเสียงมาพร้อมกับยื่นจอกเล็ก ๆ ที่ก้นจอกมียาแก้หนาวต้มกลั่นจากข้าวเหนียวมาให้
"เดี๋ยวกินอาหารญี่ปุ่นกันเลยนะ น้ำเดือดแล้ว" ผมยกแก้วเทของเหลวเหล่านั้นหายวาบไปในลำคอ ความร้อนแรงของดีกรีคงไม่อาจจะประเมินได้ เพราะมันลงไปแทบทุกขดของลำไส้ แต่นั่นไม่ได้ช่วยให้ฝนหยุดหรืออบอุ่นได้มากไปกว่ามิตรภาพ...
ยามเมื่อหมอกไหลคลอเคลียยอดดอย
เราผ่านค่ำคืนที่ฟ้ารั่วมาได้อย่างไม่ลำบากนัก แม้จะมีฝนสาดเข้ามาบ้างก็ตาม ยามเช้าตรู่ของวันนี้ยังคงอวลไปด้วยน้ำหมอกที่ชุ่มฉ่ำ ผมลุกขึ้นมาต้มน้ำบนเตาแก๊สขนาดเล็กเพื่อชงกาแฟ ระหว่างรอน้ำเดือด ผมมองไปยังปลายเทือกดอย หมอกแผ่นหนาไหลคลอเคลียเทือกดอยจนดูคล้ายสายน้ำไหล ภาพนี้ผมเคยเก็บไว้พร้อมกับแสงสียามเช้าในวันหนาวของฤดูที่ผ่านมา วันนี้แม้ท้องฟ้าจะไม่มีสีสันตระการตา แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความประทับใจลดน้อยลงแต่อย่างใด
เมล็ดกาแฟคั่วบดในซองใส่แบบซิปถูกเทลงในแก้วชงกาแฟแบบเพรส พอได้เวลาผมจึงรินออกมาแบ่งกันดื่ม กาแฟขมกลมกล่อม กลิ่นหอมกำลังดีในจอกสเตนเลสแบบมีหูจับ ทำให้สติฟื้นสมบูรณ์ขึ้น ผมยืนมองความเคลื่อนไหวที่มาตามร่องหุบและยอดดอย กาแฟหมดไปพักใหญ่แล้วหมอกหนาก็คลายลง ผมเดินเก็บภาพหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนใยแมงมุม ยอดหญ้า และบนก้านชูสเปอร์ของมอสขนาดเล็กในบริเวณใกล้ ๆ ศาลาแปดเหลี่ยม เราพร้อมเดินขึ้นสู่ยอดสูงสุดของภูลังกา หลังจากที่นกกลุ่มใหญ่เริ่มออกบินขึ้นสู่ท้องฟ้า และทิ้งให้น้ำค้างร่วงพรู
ผมหยุดถ่ายภาพกล้วยไม้ดินเล็ก ๆ อีกหลายชนิดระหว่างทางเดินขึ้นสู้ยอดดอย หญ้าที่เคยแห้งเหลืองในยามที่ดินหมาดน้ำ กลับมีชีวิตชีวาแตกใบคลุมทางไว้อย่างเสรี และไม่นานนักเราก็มายืนบนจุดสูงสุดที่มีแท่นเทวดา หรือ "ฟินจาเบาะ" เป็นจุดหมายให้เราได้รู้ความพิเศษของแดนดอยแห่งนี้ ที่คงไม่ได้มีเพียงเรื่องเล่าอันอัศจรรย์ของชนเผ่าในละแวกนี้ แต่ความพิเศษ คือความงดงามกลมกลืนของผู้คนและผืนป่าที่พึ่งพาผูกพันกัน โดยมีการเชื่อมโยงกันระหว่างวนอุทยานภูลังกา ชาวบ้านผู้นำชุมชน โครงการหลวง ทำให้ผืนป่าเล็ก ๆ แห่งนี้ยังคงเป็นต้นน้ำให้กับหลายหมู่บ้านในละแวกนี้

เรานั่งพักให้หมอกที่ลอยขึ้นมาจากหุบเขาห่อหุ้มร่างกายและหัวใจ "ไอ้ก้านเขียวตรงแท่นเทวดาน่ะ เค้าเรียกหอมชู มีที่เดียวเฉพาะตรงนี้ อย่างที่หัวหน้าบอกเมื่อวานไง" พี่หนุ่มน้อย เจ้าหน้าที่วนอุทยานภูลังกา ซึ่งขึ้นมากับเราชี้ให้ดูพืชชนิดหนึ่ง ที่เชื่อกันว่าพบเพียงจุดนี้เท่านั้น ในพื้นที่บริเวณนี้ลากยอดดอยเราเดินต่อไปยังลานหินล้านปี ซึ่งในเวลานี้ช่างแสนงดงาม เพราะบนก้อนหินเต็มไปด้วยสีชมพูหวานฉ่ำของดอกเทียนดอย และดอกสีขาวของตาเหินไหว รวมไปถึงมอสสีเขียวสดใสคล้ายกับปูพรมไว้บนก้อนหินก็มีปาน ยิ่งอยู่ภายได้ม่านหมอกด้วยแล้ว คล้ายจะทำให้ความงามเพิ่มขึ้นอีกมากนัก พวกเราช่วยถ่ายภาพกันหลายมุมตามใจต้องการ โดยแต่ละมุมก็ช่างอ่อนหวานยิ่งนัก สำหรับบริเวณนี้ หากมาในช่วงฤดูหนาวก็สามารถพบดอกไม้ต่าง ๆ สลับหมุนเวียนกันไป นอกจากนี้ ที่นี่ยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
หลายชั่วโมงที่เราสัมผัสความอ่อนหวานของดอกไม้บนดอยสูง และได้มีโอกาสเห็นนกกินปลีบางชนิดบินเข้ามาเกาะดูดน้ำหวานจาก ดอกข่าไฟ (Hedychiumcoccineum) พืชชนิดเดียวในสกุลนี้ที่มีสีแดงอมส้มตัดกับผืนป่าสีเขียวเข้มที่ห่มด้วยไอหมอก และในยามนี้ มีพืชชนิดอื่นๆ ในวงศ์ขิง (Zingiberaceae) กำลังผลิตอกอยู่หลายชนิด หลายสกุล โดยดอกข่าไฟชนิดดังกล่าวดูโดดเด่นสะดุดตายิ่งกว่าดอกไม้อื่น ๆ แม้ว่าจะแชมอยู่ท่ามกลางกอหญ้าคาหรือคงอ้อก็ตาม เราทยอยกันเดินกลับลงมาอย่างไม่เร่งรีบนัก แม้ว่าจะมีฝนเม็ดเล็ก ๆ เริ่มโปรยปรายลงมาบ้างก็ตาม และเมื่อลงมาเก็บของที่ศาลาแปดเหลี่ยมเรียบร้อย เราก็เดินกันยาว ๆ ลงสู่ที่ทำการวนอุทยานฯ
ในระหว่างทาง บางคราวเราอาจจะหลงลืมหลาย ๆ สิ่งไปกับความเร่งรีบแห่งชีวิต การมองผ่านเลยหลายสิ่งบนเส้นทาง เพราะคิดว่าคงไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่นั้น เป็นวูบหนึ่งที่เราคิดพลาดไป เนื่องจากว่าไม่มีอะไรในผืนป่าจะขาดความสำคัญไปเสียหมด ไม่มีใครที่เกิดมาทำหน้าที่เป็นผู้ให้หรือผู้รับแต่เพียงด้านเดียว เพียงเราเปิดตา เปิดใจมองด้วยความนิ่งงามในหัวใจ เราอาจจะได้เห็นบางอย่างที่ไม่เคยได้พบเลยก็ว่าได้

โครงการหลวง-ดั่งสายฝนพรมพร่างสู่แผ่นดิน
บ่ายวันนี้เรากลับมาพักยังบริเวณที่ทำการวนอุทยานภูลังกาอีกครั้ง เมื่อลงมาถึงและเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นที่เรียบร้อย ข้าวปลาอาหารก็พร้อมรอเราอยู่แล้วด้วยพ่อครัวมือเยี่ยมของที่นี่ กับข้าวเด็ด ๆ ที่มีนำเสนอกันพอเรียกน้ำย่อย ได้แก่ เบบี้ฮ่องเต้ผัดน้ำมันหอย ไข่เจียวฟูกรอบนอกนุ่มใน ผักกาดจอกระดูกหมู และผัดพริกสดกับหมู หากได้กินกับข้าวสวยร้อน ๆ ถือได้ว่าสุดใจเลยทีเดียว กับเวลาที่ผ่านมาค่อนวันโดยไม่มีอะไรตกถึงท้อง
"ผักนี่กรอบดีนะครับ ซื้อมาจากไหนครับ" ใครบางคนหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่มพร้อมตั้งคำถาม
"มาจากโครงการหลวง ตอนนี้กำลังส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกกันอยู่ ไว้พรุ่งนี้เช้าเราจะไปที่แปลงกัน ผมคุยกับชาวบ้าน และโครงการหลวงไว้แล้ว" หัวหน้าสมชาติ บอกกับงานแบบรวดเดียวจบ พร้อมกับนัดกันอีกครั้งตอนค่ำ ช่วงบ่ายนี้พักผ่อนกันตามสบาย ซึ่งผมได้เล็งปลีกล้วยใกล้ ๆ บ้านพักไว้แล้ว พร้อมกับดงไพรที่ติดรถมาด้วย ผมคิวด่าลองไปนั่งรอเล่น ๆ อาจจะได้ภาพสวย ๆ ของนกปลีกล้วยลายได้ ทว่า ตอนนี้อิ่มจนแทบปลดกระดุมกางเกงสีเขียวละ ฮาฮา
คืนนี้พวกเรานอนหลับกันไม่ดึกนัก แม้ว่า "ชุดเผา" ของหัวหน้าสมชาติ ซึ่งประกอบด้วยหมูสามชั้น ไส้หมู และมะเขือยาว ซึ่งนำมาหมักด้วยเครื่องปรุง ก่อนนำไปย่างด้วยถ่านอ่อน ๆ จะยังเหลืออยู่ไม่น้อย แต่ความอ่อนเพลียของร่างกายก็ทำให้เราอ่อนล้าลงได้ถนัดใจ ผมตั้งกล้องถ่ายภาพดาวหมุนเหนือขุนเขาไว้ราว 40 นาที โดยหวังว่าฟิล์มม้วนนี้เมื่อล้างออกมาแล้ว จะมีรอยเดินทางของดวงดาวในห้วงเวลานั้นประทับอยู่ และอาจพบเจอบางความหมายที่ถูกซ่อนไว้ในนั้น
ของบางอย่างอาจจะเหมือนไกลเกินเอื้อม หรือไม่อาจแตะต้องได้ ทว่า มันอาจช่วยให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปได้เช่นกัน พรุ่งนี้เราอาจจะเจอกับสิ่งนั้น แสงสว่างบนหนทางแห่งชีวิต...
"ตอนนี้ก็เพิ่งเริ่มต้นปลูกเบบี้ฮ่องเต้ ทางโครงการหลวงเขาเข้ามาส่งเสริม ทางเราก็ลงทุนด้านโรงเรียน ปุ๋ย ยา แล้วก็ต้นอ่อนผลผลิตก็ขายให้โครงการหลวงนี่แหละ" สุธี แซ่เตียว ชาวม้งแห่งบ้านปางค่า เป็นผู้เริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลงสวนลิ้นจี่บางส่วน ให้เป็นโรงเรียนปลูกผัก ซึ่งก็ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย สำหรับโครงกรหลวงปังค่า ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริมอาชีพให้ชาวไทยภุเขา ซึ่งยังคงทำไร่เลื่อนลอยหรือปลูกพืชเสพติด มีอาชีพที่มั่นคงในการดำรงชีวิต โดยในช่วงแรกทางโครงการหลวงปังค่าเน้นไปในแนวทางของการศึกษา และทดลองปลูกพืช ผัก ผลไม้จากเขตอบอุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟักทองยักษ์และอะโวคาโด ที่ให้ผลผลิตได้เป็นอย่างดี รวมถึงเน้นไปในแนวทางการจัดการท่องเที่ยวในชุมชนให้ยั่งยืนอีกด้วย
"ปัจจุบันนอกจากทางโครงการหลวงปังค่าจะส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชนแล้ว ก็ยังนำพืชผักต่าง ๆ มาส่งเสริมให้ชาวบ้านในพื้นที่มีรายได้ โดยเราจะซื้อเข้ากลับไปจำหน่ายในร้านโครงการหลวง ตอนนี้มีหลายหมู่บ้านแล้วที่เข้าร่วมกับทางเรา" สมชาย กันหา เจ้าหน้าที่โครงการหลวงปังค่า ให้ข้อมูลกับนำอะโวคาโดสุกกำลังดีมาให้ลองชิม
"เป้าหมายหลักของโครงการหลวงคือสร้างอาชีพให้กับชาวเขา ลดการทำลายป่าและการโยกย้ายถิ่นฐาน นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดกลไกการตลาดที่เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว" กรรณิการ์ กันหา เจ้าหน้าที่โครงการหลวงปังค่า เล่าถึงเป้าหมายหลักที่ทางโครงการหลวงกำลังทำอยู่ในปัจจุบัน
ผมอาจจะไม่เข้าใจในเนื้อแท้ของวิถีแห่งเกษตรกรรมมากนัก แต่ก็พอจะเห็นว่า ฤดูกาลยังคงเข้ามาเกี่ยวเนื่องกับผู้คนอย่างแน่นแฟ้น เพราะเมื่อความชื่นฉ่ำของฤดูกาลกำลังหมดไป ข้าวในนากำลังเริ่มเหลือง แสงของวันเริ่มหมดช้าลง อาจจะเป็นเพราะมันเดินทางไกลขึ้น หรือที่คนโบราณบอกว่ามันเดินอ้อมต้นข้าว เพื่อให้ข้าวได้แสงนาน ๆ จะได้สุกเร็ว ๆ คนปลูกข้าวทั้งบนภูเขาและที่ราบต่างรอคอยเวลานั้น เวลาของการเก็บเกี่ยวผลิตผลที่ฟูมฟักมาตลอดหลายเดือน เนื่องว่านี่คือต้นทุนชีวิตของปีหน้า เงินทองหรือกับข้าวไม่มีก็คงไม่หนักหนา เพราะว่าข้าวเปลือกในยุ้งยังเต็มเปี่ยม อย่างไรก็พอจะทำให้ชีวิตมีเรี่ยวแรงต่อสู้ จังหวะของชีวิตต่างไหลลื่นไปตามกระแสแห่งกาล ซึ่งโครงการหลวงเข้ามาเติมเต็มในหลายเรื่องราวด้วยกัน นี่แหละที่เป็นหนึ่งในเป้าหมายเหมือนการปิดทองหลังพระ ที่ทำความดีโดยไม่ต้องอวดใคร
ที่สุดทะเลหมอก เหนือหุบเขาโรแมนติก
วันนี้เราลาจากโครงการหลวงและวนอุทยานภูลังกา ในช่วงเวลาที่ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆฝน เป้าหมายต่อไปของเราคือ ภูลังกา รีสอร์ท จุดพักผ่อนและชมทิวทัศน์ที่งดงามสุดบนถนนสายโรแมนติก รอยต่อระหว่างจังหวัดน่านและพะเยา ความทรงจำของวันอุ่นไอหนาว ที่คลอเคล้าสายหมอกในหุบเขาเบื้องล่างนั้น เป็นสิ่งที่คนเดินทางและถ่ายภาพต้องการจะพบเจอ เพราะนั่นเป็นเสมือนรางวัลที่ธรรมชาติมอบให้ ซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอแล้วให้หัวใจได้โบยบิน...
เย็นนี้เรานั่งมองแท่งหินปูนเบื้องหน้าจากระเบียงบนบ้านพัก พร้อมจินตนาการแสนสุขถึงอรุณรุ่งและห้วงยามอันอ่อนหวาน เราแยกย้ายกันเข้าที่พักในช่วงหัวค่ำค่อนข้างเร็ว เนื่องว่าต้องการพักผ่อนเอาแรงไว้สำหรับวันใหม่ ซึ่งผมมีประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมกับการถ่ายภาพทะเลหมอกที่นี่ จำได้แม่นยำว่าคราวนั้นเราล่องภาคเหนือกันหลายวัน เพื่อนผมจากสงขลาขี่รถมอเตอร์ไซค์ สัญชาติอเมริกัน ฮาเลย์ เดวิดสัน ขึ้นมาสมทบกันที่นี่ เล่าเรื่องราวต่าง ๆ แลกเปลี่ยนกันอย่างออกรส กว่าจะแยกย้ายกันเข้านอนแสงเดือนฉายก็สว่างขึ้นเหนือทิวเขาใหญ่
เสียงนาฬิกาปลุกดังเบา ๆ จากโทรศัพท์เคลื่อนที่เรียกให้ผมลุกออกมาจากที่นอนและผ้าห่มนุ่มหนา ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ดารดาษไปด้วยหมู่ดาวที่ประดับวิบวาวอยู่อย่างตระการตา ผมนำขาตั้งกล้องและกล้องพร้อมสายลั่นชัตเตอร์ขึ้นประกอบและค่อย ๆ โฟกัสอย่างช้า ๆ ก่อนจะเปิดโปรแกรมให้อยู่ในโหมด B เพื่อให้เราสามารถเก็บแสงได้นานอย่างที่ต้องการ ความงดงามของผืนทะเลหมอกเบื้องล่างเริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อตีนฟ้ายก ผมยืนมองภาพที่เปลี่ยนไปตามกระแสธารแห่งเวลาที่ไม่หยุดนิ่ง สายลมหนาวจากหุบเขาพัดผ่านเข้ามาเป็นระยะ
เสียงน้ำเดือดดังขึ้น หลังจากที่ผมปล่อยสายลั่นชัตเตอร์ เพื่อให้กล้องหยุดการบันทึกแสง จากนั้นจึงตรวจภาพที่ได้จากการถ่ายภาพเมื่อสักครู่ แม้จะเป็นเพียงเส้นทางสั้น ๆ ของดวงดาวที่มาประดับไว้ในไฟล์ภาพ คู่กับผืนทะเลหมอกแน่น แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับความอิ่มใจ


แสงแรกเริ่มส่องผ่านทิวเขาทางตะวันออก เงาตะคุ่มดำของแท่งหินปูบริเวณบ้านห้วยเฟือง เห็นชัดเจนขึ้นจนดูคล้ายกับจะลอยอยู่เหนือท้องทะเลก็มิปาน จากการมองผ่านเลนส์เทเลโฟโต ผมเห็นสายหมอกเป็นริ้วเคลื่อนไหวไปอย่างเอื่อยช้า ตามความแผ่วของสายลมที่พัดพลิ้วอยู่ในหุบเขาเบื้องล่าง ผมยืนมองแสงยามเช้าที่เริ่มสาดแสงสีเหลืองทองลงบนผืนทะเลหมอกสีขาว ของธรรมชาติทำให้เราอิ่มเอมหัวใจยิ่งนัก
เรายังยืนอ้อยอิ่งอยู่บนระเบียงจุดชมวิวของภูลังกา รีสอร์ท จนสายหมอกเริ่มจางหายไปจากหุบเขาของบ้านห้วยเฟือง และภายใต้ผืนทะเลหมอกนั้น ยังมีสิ่งงดงามอีกมากมายนักที่ยังรอการเข้าไปเยี่ยมจากคนเดินทาง
เราตัดสินใจลาจากเส้นทางสุดแสนโรแมนติกแห่งนี้ หลังจากที่ได้คุยกันถึงพาสปอร์ที่ยาวที่สุดในโลกกับเจ้าของสถานที่ โดยหวังว่าหนาวนี้เราจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง หวังว่าคงได้เจอกันนะครับ บนเส้นทางแห่งสายหมอกและดวงดาวบนท้องฟ้า...

คู่มือนักเดินทาง
จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) มุ่งสู่จังหวัดนครสวรรค์ กำแพงเพชร ตาก ลำปาง และต่อไปจนถึงจังหวัดพะเยา แนะนำให้ใช้ทางเส้นทางนี้ เนื่องจากสามารถเดินทางได้สะดวกที่สุด และเป็นถนนสี่เลนตลอดเส้นทาง
จากจังหวัดพะเยา เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1021 (พะเยา-เทิง) ถึงหน้าอำเภอจุน ถึงสี่แยกเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1021 ประมาณ 24.5 กิโลเมตร ถึงตำบลน้ำแวน อำเภอเชียงคำ เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1176 ประมาณ 6.5 กิโลเมตร เลี้ยวซ้าย เพื่อเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1179 (ฝายกวาง-บ้านดอนเงิน) ประมาณ 0.5 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหายเลข 1148 ประมาณ 14 กิโลเมตร ถึงสามแยกตัดกับทางหลวงหมายเลข 1092 จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1148 ประมาณ 2.9 กิโลเมตร ผ่านบ้านสิบสองพัฒนา ถึงที่ทำการศูนย์วัฒนธรรมชาวเขา เลี้ยวซ้ายหักศอกเข้าสู่ถนน รพช. เพื่อมุ่งหน้าสู่วนอุทยานภูลังกา ประมาณ 7.8 กิโลเมตร จะผ่านโครงการหลวงปังค่า โฮมสเตย์วิถีชีวิตชนเผ่ามั่งบ้านน้ำต้ม

ติดต่อ
วนอุทยานภูลังกา สำนักบริหารจัดการในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 15 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ถนนสิงหไคล อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงราย 5700 โทรศัพท์ 0 5371 5402 หรือติดต่อหัวหน้าวนอุทยานภูลังกา โทรศัพท์ 08 9559 3432











ระวัง...สะอาดเกินไปทำลายสุขภาพ


ระวัง...สะอาดเกินไปทำลายสุขภาพ (Lisa)

ใช้วิธีทำความสะอาดด้วยธรรมชาติ ดีต่อสุขภาพมากกว่านะ

แม่บ้านที่กลัวเชื้อโรคมักใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรง แต่ ดร। ฟริดริช เฮล์ม จากสถาบันสุขศาสตร์และสิ่งแวดล้อมในเมืองฮัมบวร์ก ประเทศเยอรมนี กล่าวเตือนว่า การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่รุนแรงในการล้างห้องน้ำ อ่างล้างหน้า พื้น ฯลฯ จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

นอกจากนี้ น้ำยาทำความสะอาดที่แรงเกินจะส่งผลให้เป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น และภูมิต้านโรคของร่างกายจะไวกับสิ่งแปลกปลอม เช่น ละอองเกสรดอกไม้ ฟาง ผิวแพ้ง่าย และหากใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคบ่อย ๆ เชื้อแบคทีเรียก็จะเคยชินกับน้ำยา และไม่สะดุ้งสะเทือนกับน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่นเดียวกับการใช้ยาปฎิชีวนะบ่อย ๆ ก็จะทำให้เชื้อโรคดื้อยานั่นเอง

ข้อแนะนำคือ ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรง น้ำยาฆ่าเชื้อโรคมีประโยชน์ในบางกรณี เช่น เมื่อมีคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคติดเชื้อที่อันตราย (เช่น ไข้หวัดใหญ่) การทำความสะอาดพื้นและสิ่งสกปรกด้วยผงซักฟอกหรือสบู่ธรรมดา ๆ ก็เพียงพอ

การทำความสะอาดคราบต่าง ๆ ในห้องครัวหรือห้องน้ำให้ใช้น้ำส้มสายชูหรือน้ำผสมน้ำส้มสายชู (น้ำส้มสายชูหนึ่งช้อนโต๊ะผสมกับน้ำหนึ่งลิตร) คราบไขมันที่แก้วและกระจกให้ใช้แอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น 60% ทำความสะอาด หรือผสมกับน้ำ 1 : 1 ส่วนสำหรับล้างขวด

Honey Heal เยียวยา 20 โรคภัยด้วยความหวาน




Honey Heal เยียวยา 20 โรคภัยด้วยความหวาน (Twenty-four Seven)

มะเร็ง ตับแข็ง และอาการเรื้อรังต่าง ๆ ในช่องท้อง คือสิ่งที่คน พ।ศ।นี้หวาดระแวงมากที่สุด บ่อยครั้งที่หลายคนยังอยู่กับความวิตกกังวลอย่างไม่มีทางเลือก และไม่มีวิธีป้องกันภัยให้ตัวเอง แต่วันนี้ เงื่อนไขสุขภาพของพวกเราจะเปลี่ยนไป ด้วยน้ำผึ้งเพียงขวดเดียว และนี่คือคุณประโยชน์มหาศาลจากความหวานที่ไม่เป็นลม แต่ให้สรรพคุณเหมือนความขม

Honey Benefit

น้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำประมาณร้อยละ 20 น้ำตาลชนิดต่าง ๆ เช่น กลูโคส ฟรุกโตส และลีวูโลส ประมาณร้อยละ 79 โดยมีปริมาณน้ำตาล "ฟรุกโตส" มากกว่าน้ำตาล "กลูโคส" เล็กน้อย ทำให้น้ำผึ้งไม่ตกผลึก กรดชนิดต่าง ๆ ประมาณร้อยละ 0।5 ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวเล็กน้อย โดยกรดที่พบมาก คือ กรดกลูโคนิก วิตามิน เอนไซม์ และแร่ธาตุแคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส ประมาณร้อยละ 0.5 โดยน้ำผึ้งที่มีสีเข้มจะมีปริมาณแร่ธาตุสูงกว่าน้ำผึ้งที่มีสีอ่อน น้ำผึ้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 303 แคลอรี

น้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางยาคือ สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่าง ๆ ได้ เพราะมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง ช่วยกำจัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียใช้ในการเจริญเติบโต รวมถึงน้ำผึ้งมีความเป็นกรดสูง และมีปริมาณโปรตีนต่ำ ซึ่งทำให้แบคทีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็น นอกจากนี้ น้ำผึ้งยังมีสารไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งด้วย ดังนั้น เมื่อเราใช้น้ำผึ้งทาบาดแผลจึงสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ และทำให้แผลไม่เกิดการอักเสบ ปัจจุบันได้มีการพิสูจน์และใช้กันอย่างกว้างขวาง ทั้งในวงการแพทย์อเมริกาและยุโรป รวมทั้งเป็นหนึ่งในกระสายยาสำคัญในหลายประเทศของเอเชีย ทั้งจีน ญี่ปุ่น และประเทศไทย

Honey Use
ดื่มทุกวัน เพื่อสุขภาพที่ดีและป้องกันมะเร็ง
ใช้น้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Honey) 3 ช้อนชา และน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ลไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Apple Cider Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอน และระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน
เมนูสุขภาพลดความอ้วน
นำผลไม้ต่าง ๆ มาหั่นเป็นลูกเต๋า เช่น มะละกอ กล้วย ส้ม ตามชอบ ราดด้วยโยเกิร์ต ลูกเกด และน้ำผึ้ง ไม่ผ่านความร้อน คุณก็จะได้อาหารเช้าที่มีประโยชน์ อร่อย อุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุอาหาร เอนไซม์ และโปรตีนที่ย่อยง่าย
ดื่มให้หลับสบาย ผ่อนคลายตลอดคืน
ใครนอนไม่ค่อยหลับ ลองผสมน้ำผึ้งกับน้ำอุ่น หรือนมร้อนจะช่วยให้หลับสบาย แต่ถ้าได้ร่วมกับการนั่งสมาธิสัก 5 นาทีก่อนนอน เพื่อให้ได้หยุดพักความคิดและปล่อยวางความเครียดลงบ้าง จะยิ่งทำให้นอนหลับสนิทต่อเนื่องตลอดคืน และตื่นมาอย่างสดใส
ย้อนวัยผิวใส
ผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยน อดหลับอดนอนจนหน้าแห้งกร้าน หรือต้องการบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น เช็ดให้แห้ง แล้วนำกล้วยหอมครึ่งลูกมาบดผสมกับน้ำผึ้งที่ไม่ผ่านความร้อน ทาบนหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก เอนไซม์ในน้ำผึ้งจะคืนความชุ่มชื่นนุ่มนวลให้ผิวอย่างรวดเร็ว


กำจัดสารเคมีและปลุกชีวิตเส้นผม

หลังสระผมเสร็จ นำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน 3 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำมันมะกอก 3 ช้อนโต๊ะ ชโลมผมแล้วทิ้งไว้ 5 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมจะนิ่มและเงางามตามธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีใด ๆ

แก้ไอ หลอดลมอักเสบ กำจัดเสมหะ

ตำกระเทียม 1-2 กลีบให้ละเอียด ผสมกับน้ำมะนาวครึ่งช้อนโต๊ะ เกลือเล็กน้อย พิมเสน หรือการบูร 2-3 เกล็ด และน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะกวาดคอทุกชั่วโมง

กำจัดทุกปัญหาเรื่องท้อง ๆ

ท้องอืด ท้องเฟ้อ : ผสมน้ำผึ้งครึ่งช้อนโต๊ะกับน้ำขิงเข้มข้นครึ่งถ้วย เกลือเล็กน้อย ดื่มวันละ 3 เวลาหลังอาหาร

ท้องผูก : ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำอุ่นดื่มก่อนนอน

ท้องเสียรุนแรง : ผสมน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ เกลือครึ่งช้อนชา และน้ำอุ่น 1 แก้ว จิบระหว่างวัน

โรคกระเพาะ : ดื่มน้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะขณะปวด และ 3 ช้อนโต๊ะก่อนนอน

ล้างแผล แผล ฝี หนอง แผลเรื้อรัง

สูตรชะล้างแผล : ผสมน้ำผึ้ง 1 ส่วน น้ำ 9 ส่วน

บรรเทาฝี : โขลกหัวหอมแดง 2 หัวให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้งครึ่งช้อนโต๊ะ พอกบนหัวฝี แล้วใช้สำลีหรือผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดบริเวณแผล

แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ถูกท่อไอเสีย : ใช้ผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดแผล เปลี่ยนทุก 12 ชั่วโมง

ริดสีดวงทวาร : ดื่มน้ำผึ้งผสมกระเทียมโทน วันละ 3 ครั้งหลังอาหาร

บรรเทาอาการตับแข็งจากสุรา

ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำครึ่งแก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้งเป็นประจำ และดื่มน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะก่อนนอน

ปวดหลัง...ป้องกันได้



ปวดหลัง...ป้องกันได้ (Lisa)

มีคนเป็นจำนวนไม่น้อยที่มักมีอาการปวดหลัง ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือการป้องกัน Lisa Guru มีเคล็ดลับป้องกันอาการปวดหลังให้คุณค่ะ

อย่าหักโหม
การใช้ร่างกายอย่างไม่บันยะบันยัง และมีจิตใจหมกมุ่นครุ่นคิดตลอดเวลา จะทำให้กระดูกสันหลังอ่อนแอ ทำให้กล้ามเนื้อแข็งกระด้าง และจะส่งผลให้เกิดความเจ็บปวด ข้อแนะนำก็คือ คุณควรมีจุดมุ่งหมายในแต่ละวัน เพื่อจะได้ไม่ทำอะไรที่มากเกินไปจนสับสนวุ่นวาย

อย่าก้าวร้าว
หากคุณเป็นคนที่ตื่นเต้นง่าย ชอบโวยวายก็จะมีความก้าวร้าวง่าย และหากมีความโกรธเกรี้ยวในอารมณ์ก็จะทำให้กล้ามเนื้อตึงเครียด ข้อแนะนำก็คือ พยายามฝึกสมาธิ รู้จักอดกลั้น หรือออกกำลังกายสม่ำเสมอก็จะช่วยผ่อนคลายได้

อาหาร
การกินอาหารให้สมดุลนอกจากจะช่วยลดน้ำหนักแล้ว ยังช่วยป้องกันข้ออักเสบเรื้อรัง และป้องกันไม่ให้มีกรดยูริกมากเกินไป ซึ่งจะทำให้ปวดไขข้อได้ ฉะนั้นในตารางอาหารก็ควรมีอาหารประเภท ข้าวกล้อง เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ปลา ผักและผลไม้ ส่วนอาหารที่ควรกินให้น้อยก็คือ เนื้อสัตว์ติดมัน ไส้กรอก แอลกอฮอล์ น้ำตาล น้ำมันสัตว์ ผลิตภัณฑ์แป้งขัดขาว และดื่มน้ำวันละประมาณ

อย่าปล่อยให้อ้วน
น้ำหนักตัวแต่ละกิโลที่เกินตาชั่ง จะทำให้หลังต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบถึงข้อต่อ เส้นเอ็นและกระดูก และแต่ละกรัมที่มากเกินที่หน้าท้อง สะโพกและก้นจะเพิ่มความกดดันที่กระดูกสันหลัง

ออกกำลังกาย
การไดเอ็ตนาน ๆ ไม่ช่วยให้ลดน้ำหนักได้สำเร็จ ดังนั้น คุณจึงควรเปลี่ยนพฤติกรรมที่เคยชิน เช่น เดินให้มากแทนการนั่งรถหรือขี่จักรยาน และอย่างน้อยที่สุดควรออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ๆ ละอย่างน้อยที่สุด 20 นาที เช่น เดินเร็ว จ็อกกิ้ง ขี่จักรยาน

ยืดกล้ามเนื้อ
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควรทำควบคู่ไปกับการยืดกล้ามเนื้อ ข้อแนะนำก็คือ หลังออกกำลังกายควรยืดกล้ามเนื้อทุกส่วน

ไม่เครียด
หากคุณเป็นคนชอบทำสามสิ่งพร้อมกัน ก็ควรหยุดพฤติกรรมนี้เสีย เพราะการมีความเครียดมากเกินไปจะทำให้ป่วยโดยเฉพาะอาการปวดหลัง

นอนหลับพักผ่อน
ความต้องการในการนอนหลับของแต่ละคนต่างกัน ที่สำคัญคือขณะนอนหลับ ร่างกายได้พักผ่อนจากความตึงเครียดในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ หมอนรองกระดูกยังซ่อมแซมตัวเองด้วย

มีความสุขกับชีวิต
ความผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ เป็นสิ่งสำคัญในการลดความตึงเครียดจากชีวิตประจำวัน ก็จะป้องกันอาการปวดหลังได้ เช่น เดินเล่น ร้องเพลง เต้นรำ พบปะเพื่อนฝูง

ฟังเสียงภายในร่างกาย
อาการเจ็บป่วยทางร่างกายมักเกิดจากปัญหาด้านจิตใจ กระดูกสันหลังเชื่อมโยงกับกล้ามเนื้อและเส้นประสาท ดังนั้น คุณจึงควรเชื่อฟังร่างกายของคุณ เมื่อเกิดเมื่อยล้าก็ต้องหยุดพัก ผ่อนคลายหรือหิวก็ต้องกิน

3 วิธี รับมือข้อผิดพลาดในการทำงาน


3 วิธีรับมือข้อผิดพลาดในการทำงาน (Lisa)
ทุกคนต่างก็ทำผิดกันทั้งนั้น แต่การรับมือกับความผิดพลาดอย่างชาญฉลาดต่างหาก ที่จะทำให้คุณรอดจากหายนะในหน้าที่การงานได้
ทำความลับรั่วไหล
สิ่งที่เกิดขึ้น คุณให้ข้อมูลการซื้อขายเรื่องหุ้นให้เพื่อน หรือคุณให้ข้อมูลที่บังเอิญเห็นในบันทึกหรือแฟกซ์ที่เป็นความลับ หรือคุณบังเอิญทำเอกสารสำคัญหาย
วิธีเอาตัวให้รอด
อย่าพยายามปกปิดมัน และจงหลีกเลี่ยงการโทษมือที่สาม มันจะยิ่งเป็นการยืนยันว่าคุณอ่อนแอและไม่อาจไว้วางใจได้ ยอมรับความบกพร่องของคุณ และปรึกษาทนายความว่าคุณควรทำยังไงดี แต่ถ้าเอกสารสำคัญประเภทรายชื่อลูกค้าหรือแผนการขยายงานหลุดไปอยู่ในมือคู่แข่งของบริษัท คุณอาจจำเป็นต้องเสนอตัวลาออก
ฉ้อฉล
สิ่งที่เกิดขึ้น คุณถูกจับได้ว่าหนีงานไปทำเรื่องส่วนตัวในระหว่างเวลางาน คุณใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ของที่ทำงานในงานส่วนตัว หรือโทรทางไกลหาเพื่อนในต่างประเทศ หรือเบิกค่าใช้จ่ายเกินจริง
วิธีเอาตัวให้รอด
เสนอการชดเชย ทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น หลีกเลี่ยงการพูดว่า "คนอื่นก็ทำกันทั้งนั้น" สิ่งเดียวที่สำคัญในที่นี้ก็คือการกระทำของคุณเอง จงแสดงความสำนึกและยอมรับว่าคุณทำผิด
สะเพร่า
สิ่งที่เกิดขึ้น คุณไม่ได้ตรวจดูเอกสาร จดหมายหรือสัญญาอย่างถี่ถ้วนก่อนจะเซ็นชื่อ และข้อความบางอย่างในนั้นอาจส่งผลเสียต่อบริษัทได้
วิธีเอาตัวให้รอด
รีบแก้ไขความผิดพลาดอย่างรวดเร็ว และแสดงให้เห็นว่าคุณพร้อมจะยอมรับคำตำหนิ ถ้าคุณเซ็นชื่อในจดหมายเสนอราคาให้ลูกค้า 20,000 บาท ในขณะที่หมายถึงแค่ 2,000 บาท ให้รีบโทรหาลูกค้า และใช้อารมณ์ขันโยนเป็นความผิดพลาดในการพิมพ์ ถ้าคุณเซ็นสัญญาที่มีข้อความซึ่งจะมีผลเสียต่อบริษัท ให้นำไปหาทนายความของบริษัททันที อย่าพยายามแก้ไขมันโดยไม่ใช้ที่ปรึกษาทางกฎหมาย

วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

คลายสายตาเมื่อยล้า จากการจ้องคอมพิวเตอร์

การบริหารลูกตา กล้ามเนื้อตา และสมองรับภาพ

การบริหารทั้งสามส่วนนี้จะช่วยให้คุณสามารถมองภาพต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น สิ่งแรกที่ต้องทำเลยก็คือ วางมือจากแป้นคอมพิวเตอร์ หลบหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ทุก ๆ 1 ชั่วโมง จะดีที่สุด

1 การบริหารลูกตา

หลับตาใช้อุ้งนิ้ว ย้ำว่า "อุ้งนิ้ว" นวดเบา ๆ วนรอบตาสัก 1 นาที หรือกะพริบตาถี่ ๆ ทุกการใช้สายตาครบ 1 ชั่วโมง เพราะการกะพริบตา จะช่วยขับฟิล์มน้ำตาออกมาเคลือบตาของเราให้แลดูวิ้ง ๆ ปิ๊ง ๆ ตลอดเวลานั่นเอ

2 การบริหารกล้ามเนื้อตา

กล้ามตาของเรา เป็นส่วนหนึ่งของกล้ามเนื้อต่าง ๆ ที่ต้องการ "การพักผ่อน" มากกว่ากล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ ด้วยซ้ำ เพราะว่าเราต้องใช้กล้ามตาแทบตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนนอน อยากรู้ก็ลองสังเกตตอนคนที่บ้านของคุณหลับดูสิ... ยามที่เขาหลับสนิท เปลือกตาของเขาจะขยุกขยิกไปมา นั่นคือ "ช่วงกลอกตาเร็ว" นั่นเอง เห็นหรือเปล่าว่า ใช้กล้ามตามากจริง ๆ แต่ไม่ต้องห่วง เรามีวิธีการดูแลตาให้สุขภาพดี ด้วยสูตร "จักษุสปา" สไตล์อายุรวัฒน์มาแนะนำกันค่ะ

สูตรจักษุสปา

เริ่มกันตั้งแต่ตื่นนอนเลย ต่อจากนี้ตื่นมาแทนที่จะขยี้ตา เปลี่ยนเป็นเอาตาซุกลงไปกับฝ่ามือเบา ๆ ทิ้งไว้สัก 1 นาที เพื่อเป็นการปรับสายตาให้พร้อมกับการมองเห็นความจริงทุกประการ พอมาถึงที่ทำงาน ทำงานไปได้สักชั่วโมง ลุกขึ้นเดินไปเดินมาบ้าง กะพริบตาเพื่อให้ฟิล์มน้ำตาออกมาเคลือบลูกตา ก่อนพักเที่ยงก็กะพริบตาถี่ ๆ อีกสัก 10 วินาที

ช่วงบ่าย สายตาเริ่มล้า ให้หลับตาปี๋ ๆ เลย แล้วเบิ่งตาโต ทำสลับกันครั้งละ 10 วินาที เป็นเวลาประมาณ 1 นาที หรือจะใช้อุ้งมือนุ่ม ๆ (รอบนี้อุ้งมือนะ!) ของเรากดตาไว้เบา ๆ สัก 1 นาทีก็พอ จะให้สดชื่นสายตาอีกสักหน่อยก็หาผ้าเย็นเช็ดหน้านุ่ม ๆ ชุบน้ำเย็น ๆ มาประคบสายตาของเราไว้ประมาณ 10 นาที จะทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น

ก่อนเลิกงาน หลังจากปิดคอมพิวเตอร์แล้ว ให้นั่งหลับตา หาที่มืดนั่งเงียบ ๆ สักพัก เพื่อเป็นการพักลูกตา และสมองส่วนรับภาพ เมื่อถึงบ้านแล้ว ดูทีวีได้ตามปกติ แต่ไม่ควรปิดไฟทั้งห้องจนมืด เพราะแสงจากทีวีจะจ้ามาก เป็นผลเสียต่อจอตาของเรา ที่สำคัญควรปิดสวิตช์ตาไม่เกิน 5 ทุ่ม นอนพักได้แล้ว

ก่อนเข้านอน ให้ทำการขอบคุณสายตาที่ถูกใช้งานมาทั้งวัน ด้วยการพนมมือทั้งสองขึ้นมา เอานิ้วจรดกัน แล้วเอาอุ้งนิ้วทั้งสองมาประทับกับเปลือกตาที่หลับลง นวดวนเบา ๆ ตามเข็มนาฬิกาสัก 1 นาที หากคนที่ตาแห้งก็เพิ่มเป็น 2 นาที พอตื่นนอนก็วนทำแบบครั้งแรก รับรองงานนี้ "ตาหวานฉ่ำ" แน่ ๆ

3 บริหารสมองรับภาพ

ง่าย ๆ เพียงแค่ "กลอกตา" ไปมา แบบซ้ำ ๆ อย่ารีบ เดี๋ยวตาลาย ให้กลอกจากซ้ายไปขวา และบนลงล่าง ทำท่าแบบนี้เป็นการฝึกสมองไปในตัวด้วยค่ะ


ดูแลสุขภาพตาด้วย "จักษุโภชนา"
จำเป็นต้องกินผัก "เขียวจัด" อย่างคะน้า เพราะจะมีวิตามินเอเยอะ และ "เหลืองแจ๊ด" จำพวก ข้าวโพด ฟักทอง แครอท ซึ่งจะมีธาตุที่ชื่อ "ลูทีน" กับ "ซีแซนทิน" เป็นธาตุที่บำรุงสายตาโดยเฉพาะ
ระวังเรื่องของการอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ หรืออยู่ใกล้กระจกสะท้อน เพราะอาจเป็น "ต้อ" ได้ ให้ตรวจสอบว่า โต๊ะคอมพิวเตอร์ของเรา ตำแหน่งที่นั่งดีหรือยัง ตรวจสอบการสะท้อนของแสงที่เข้าตาของเรา ด้วยการปิดคอมพิวเตอร์แล้วเปิดไฟห้อง ดูว่าหน้าจอมีแสงไฟสะท้อนเข้าตาหรือเปล่า ถ้ามี ก็ต้องปรับตำแหน่งคอมพิวเตอร์จนกว่าจะไม่มีแสงสะท้อน
สายตาเป็นเรื่องที่มองข้ามไปไม่ได้เลย อย่าบอกว่า ขี้เกียจทำการบริหาร หรือไม่ว่างจากงานตรงหน้า หากวันหนึ่งสายตาของคุณแย่แล้ว คุณจะเอาสายตาดี ๆ ของคุณมาทำงานต่อได้อย่างไร จริงหรือเปล่าคะ

5 พฤติกรรมป้องกันความจำเสื่อม

5 พฤติกรรมป้องกันความจำเสื่อม (Woman's Story)

สาวทำงานทั้งหลายที่วัน ๆ สมองวุ่นวายอยู่ตลอดเวลาไม่เคยได้หยุดพัก ระวังเป็นโรคความจำเสื่อมนะคะ ใครไม่อยากความจำเสื่อมก่อนวัยอันควร ก็ควรทำตาม 5 พฤติกรรมดังต่อไปนี้ค่ะ เรามาดูกันว่ารายละเอียดจะเป็นอย่างไรกันบ้าง...

ทานอาหารเช้าทุกวัน โดยขอให้มีผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และอาหารที่มีโปรตีนสูงรวมอยู่ด้วย

กินทุก ๆ 3 – 4 ชั่วโมง และควรกินคาร์โบไฮเดรตไม่ขัดสี เช่น ธัญพืช หรือผักที่มีแป้ง จำพวกลูกเดือย เผือก มันด้วย

เลี่ยงอาหารไขมันสูง เป็นไปได้ให้กินอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ ก็พอ

กินอาหารตามหมวดแป้ง หรือธัญพืชไม่ขัดสีอย่างน้อยวันละ 6 ส่วน ผักผลไม้วันละ 8 - 10 ส่วน โดยมีผักใบเขียวอย่างน้อย 2 ส่วน อาหารที่มีแคลเซียมสูง 3 ส่วน จะเป็นนมพร่องไขมัน หรือนมเสริมแคลเซียมก็ได้ กินถั่วต่าง ๆ มีปลา 2 มื้อ และอาหารที่มีโคลีนสูง เช่น ถั่วเหลืองเสริมวิตามินบีรวม วิตามินซี และวิตามินอีเพิ่มเติมเลี่ยงแอลกอฮอล์และสารนิโคติน

เลี่ยงอาหารที่ปนเปื้อนสารปรอท ตะกั่ว และโลหะอื่น ๆ

รู้แบบนี้แล้วก็อย่ามองข้ามวิธีดี ๆ ที่นำมาฝากกัน รีบนำไปทำเลยจะได้มีความจำที่ดีเยี่ยมไปอีกนานค่ะ

10 สุดยอดเศรษฐีอายุต่ำกว่า 30 จากธุรกิจไซเบอร์

ในยุคที่อินเทอร์เน็ตได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนเราอย่างแยกไม่ออก กิจกรรมหลาย ๆ อย่างแทบจะประยุกต์ให้เป็นกิจกรรมออนไลน์ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การซื้อขาย การแลกเปลี่ยนความเห็นต่าง ๆ เดี๋ยวนี้ทุกอย่างสามารถทำได้ง่าย ๆ ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เรียกว่าสะดวกสบายอย่างมากมายเลยทีเดียว

เมื่ออินเทอร์เน็ตมีบทบาทกับชีวิตคนได้ขนาดนี้แล้ว ธุรกิจออนไลน์จึงเติบโตควบคู่กันไปพร้อม ๆ กัน อินเทอร์เน็ตจึงกลายเป็นปัจจัยที่ทำเงินมหาศาลให้กับนักคิดและเหล่าโปรแกรมเมอร์หลายคนมาแล้วนับไม่ถ้วน จากการคิดค้นโปรแกรมและบริการต่าง ๆ มาตอบสนองความต้องการของนักท่องอินเทอร์เน็ตนั่นเอง

และต่อไปนี้คือโฉมหน้าของนักคิดที่กลายเป็นเศรษฐีจากธุรกิจไซเบอร์ ที่รวยที่สุด 10 อันดับแรกของโลก ที่เว็บไซต์ Complex.com ได้จัดอันดับไว้ค่ะ

มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก
1. มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก วัย 26 ปี เจ้าของเครือข่ายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกคนนี้ กลายเป็นเศรษฐีติดอันดับโลกไปแล้วภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี เรียกได้ว่าเขาอาจเป็นส่วนผสมของบิล เกตส์ และ สตีฟ จ็อบส์ CEO ของแอปเปิลก็เป็นได้ เพราะเครือข่ายออนไลน์ที่เขาคิดค้นขึ้นได้รับความนิยมอย่างมากมาย จนปัจจุบันนี้มันทำเงินให้เขาได้ถึง 4,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว และนั่นทำให้เขากลายเป็น 1 ในมหาเศรษฐีที่มีรายได้แซงหน้าสตีฟ จ็อบส์ ไปแล้วจ้า


ดัสติน มอสโกวิทซ์

2. ดัสติน มอสโกวิทซ์ วัย 26 ปี หนึ่งในผู้สร้าง Facebook คู่หูของซักเกอร์เบิร์ก เขาถือหุ้น 6 เปอร์เซ็นต์ และครองตำแหน่งผู้บริหารอีกคนของ Facebook ส่วนรายได้ของเขาน่ะหรือ ตอนนี้อยู่ที่ 1,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

เบลค รอส

3. เบลค รอส วัย 25 ปี ประสบความสำเร็จจากการพัฒนาเว็บบราวเซอร์คุณภาพอย่าง Firefox ขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ.2004 จนเป็นที่นิยมกันไปทั่วโลก ด้วยยอดคนดาวน์โหลดกว่า 100 ล้านครั้งในเวลาไม่ถึงปี และนั่นทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีร้อยล้านตั้งแต่อายุได้เพียง 19 ปีเท่านั้น รายได้ของเขาอยู่ที่ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ



นาวีน เซลวาดูไร

4. นาวีน เซลวาดูไร วัย 28 ปี ผู้สร้างสรรค์ Foursquare แอพลิเคชั่นเครือข่ายออนไลน์ที่ผสม Social Network เข้ากับสถานที่ ที่ทำให้ผู้ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ทั้งหลายสามารถระบุสถานที่ที่ตัวเองอยู่ได้ แอพลิเคชั่นนี้ดึงดูดผู้ใช้งานได้ถึง 275,000 คนในเวลาไม่ถึงปี และบัดนี้มันทำเงินให้เขาได้แล้วถึง 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ


แอลเจโล่ โซทีรา

5. แอลเจโล่ โซทีรา วัย 28 ปี เจ้าของเว็บไซต์ DeviantArt ที่เป็นศูนย์รวมศิลปะทุกแขนง และเป็นชุมชนศิลปินสาขาต่าง ๆ ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น ปัจจุบันมีสมาชิกแล้วกว่า 11 ล้านคนทั่วโลก ทำรายได้ให้เขาได้ถึง 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ


อเล็กซานเดอร์ เลวิน

6. อเล็กซานเดอร์ เลวิน วัย 26 ปี เจ้าของเว็บ Imageshack ที่เอาไว้สำหรับฝากรูปที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และมันทำเงินให้เขาไปแล้วกว่า 56 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ


แจ็ค นิกเกล

7. แจ็ค นิกเกล วัย 30 ปี ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Threadless ซึ่งเป็นเว็บไซต์ขายเสื้อผ้าที่โด่งดังมาก ๆ โดยตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 เว็บไซต์แห่งนี้ได้ทำรายได้ให้เขาแล้ว 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ


เซียน เบลนิค

8. เซียน เบลนิค วัย 23 ปี ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Bizchair.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ขายเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ทั้งในออฟฟิศและบ้าน ปัจจุบันเขามีรายได้กว่า 42 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ



แมตต์ มุลเลนเวก

9. แมตต์ มุลเลนเวก วัย 26 ปี ผู้ก่อตั้ง wordpress โปรแกรมสำหรับสร้างบล็อกที่สะดวกต่อการใช้งาน ปัจจุบันทำรายได้ให้เขาถึง 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ



โอดาน คัลเลน

10 โอดาน คัลเลน วัย 27 ปี เจ้าของ Statcounter ซึ่งเป็นตัววัดสถิติการเข้าชมเว็บไซต์ที่เป็นที่นิยมมากในขณะนี้ โดยมีสมาชิกกว่า 1.5 ล้านคน และสร้างรายได้ให้เขาได้ถึง 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

และนั่นก็คือ 10 อันดับมหาเศรษฐี อายุน้อยกว่า 30 ที่ทำเงินจากธุรกิจไซเบอร์ได้มากที่สุดในโลก งานนี้ใครอยากเป็นเศรษฐีกับเขามั่งคงต้องลองคิดอะไรแปลกใหม่และโดนใจนักท่องเน็ตออกมาดู เผื่อจะได้ติดโผในอันดับเศรษฐีแห่งโลกไซเบอร์ในอนาคตก็ได้


วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553

10 สัญญาณเตือนภัยโลกร้อน51



10 สัญญาณเตือนภัยโลกร้อนร่วมมือลดดีกรี...เริ่มที่ตัวเราเอง (Momypedia)
ถึงเวลาที่มนุษยชาติต้องเอาใจใส่สัญญาณเตือนภัยจากธรรมชาติ และร่วมมือกันลดสภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง
น้ำท่วมปากีสถาน ฝนตกหนักที่รัสเซีย คลื่นความร้อนกระหน่ำทั่วยุโรป ในช่วงหลายปีมานี้เหตุการณ์เหล่านี้คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าสภาพอากาศที่แปรปรวนนี้เป็นผลมาจากอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นอันเนื่องมาจากสภาวะโลกร้อน
10 สัญญาณโลกร้อน
เรามาดูกันว่า โลกส่งสัญญาณอะไรบ้างเพื่อเตือนให้มนุษย์หันมารักษาโลกนี้ไว้ก่อนจะสายเกินไป นักวิทยาศาสตร์ได้สรุป 10 สัญญาณเตือนภัยที่เกิดจากภาวะโลกร้อนไว้ดังนี้
คลื่นความร้อน แต่ละปีคลื่นความร้อนคร่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมาก ปีที่ผ่านมาชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตด้วยคลื่นความร้อน 14 คน อินเดีย 100 กว่าคน ปากีสถาน 50 คน ฮังการีตายไปสูงสุด 500 กว่าคน และมีแนวโน้มว่าคลื่นความร้อนจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี
น้ำทะเลขึ้นสูง หลายประเทศกำลังเผชิญกับปัญหา และผลกระทบจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยที่กำลังเผชิญกับปัญหาน้ำทะเลขึ้นสูง น้ำท่วม และน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง
น้ำแข็งยอดภูเขาสูงละลาย น้ำแข็งที่ปกคลุมยอดภูเขาสูงกำลังละลาย เช่น ที่ยอดเขาหิมาลัย ประเทศเนปาล และยอดเขาฟูจิ ประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น
น้ำแข็งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้แตกตัว สภาพอากาศของโลกที่ร้อนขึ้น ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกแตกตัวลอยอยู่ในทะเล ก่อนจะจมสู่ก้นทะเล มีผลกระทบต่อน้ำเค็มและการแพร่ระบาดของสาหร่ายในทะเล
โรคระบาด เกิดโรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำ เช่น การแพร่ระบาดของโรคมาลาเรียในเขตหนาว อย่างกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ หรือญี่ปุ่น ฤดูใบไม้ผลิมาถึงเร็วกว่ากำหนด ส่งผลกระทบต่อวงจรชีวิตสัตว์ป่าที่ต้องอาศัยช่วงฤดูใบไม้ผลิเพื่อการเจริญเติบโตปรับตัวไม่ทันและสูญพันธุ์ไปในที่สุด
พืชและสัตว์เคลื่อนตัวไปทางเหนือ เมื่อพื้นที่ที่เคยหนาวเย็นทางตอนเหนือเริ่มมีความอบอุ่นมากขึ้น จึงพบพืชและแมลงที่ไม่เคยอาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นมาก่อน เริ่มปรับตัวและมาอยู่อาศัยมากขึ้น
ปะการังฟอกขาว เกิดจากปรากฏการณ์ เอลนิญโญ่ - ลานิญญ่า แต่อีกปัจจัยหนึ่งเกิดจากกรดในน้ำทะเลที่เป็นผลมาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์บนชั้นบรรยากาศที่มีมากขึ้น
น้ำท่วมและพายุหิมะ ทั่วโลกกำลังเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่รุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ เช่น พายุเฮอร์ริเคน ฝนตกหนัก น้ำท่วม ดินถล่ม และพายุหิมะ
ภัยแล้งและไฟป่า สภาพอากาศโลกมีความชื้นน้อย ส่งผลให้เกิดความแห้งแล้ง ทำให้เกิดการแพร่ขยายของไฟป่าอย่างรวดเร็วและป้องกันได้ยาก
ในยุคนี้เราได้รับข้อมูลข่าวสารเรื่องภาวะโลกร้อนในลักษณะเช่นนี้มากขึ้น แต่มีคนจำนวนน้อยเหลือเกินที่หันมาเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อช่วยกันลดภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง อาจเพราะรู้สึกว่าทำไปก็ไม่มีผลอะไรเนื่องจากตัวการทำให้โลกร้อนที่แท้จริงคือภาคอุตสาหกรรม แต่จะรอภาคอุตสาหกรรมอย่างเดียวอาจไม่ทันการณ์ ทุกคนควรเริ่มเอาใจใส่เรื่องง่าย ๆ ใกล้ตัว เช่น แยกขยะ พยายามใช้ระบบขนส่งมวลชนให้มากขึ้น ใช้ไฟฟ้า น้ำประปาอย่างเห็นคุณค่า ฯลฯ ก็จะช่วยชะลอภาวะโลกร้อนได้ แม้จะไม่เห็นผลในเร็ววันหรือแม้กระทั่งในชั่วชีวิตของเรา แต่ทฤษฏี "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว" นั้นยังใช้ได้อยู่เสมอ เพราะธรรมชาติมีผลกระทบกับชีวิตมนุษย์อย่างลึกซึ้ง และอนาคตของลูกหลานก็อยู่ในมือของคนในยุคนี้นี่เอง

ทัชมาฮาล รักสร้างโลก

ทัชมาฮาล ประเทศอินเดีย



ทัชมาฮาล
ไม่เชื่อตาตัวเองเลยว่าจะได้มีโอกาสมาเห็น แม้ว่าจะมายืนอยู่ข้างหน้าสิ่งมหัศจรรย์หนึ่งในเจ็ดของโลก ที่มีชื่อเรียกว่า "ทัชมาฮาล" (Taj Mahal) อนุสรณ์สถานแห่งความรักระหว่างพระเจ้าชาห์มาฮาน และพระมเหสีคือ พระนางมุมตัส

ทัชมาฮาล สุสานหินอ่อน ที่ผู้คนเชื่อว่าเป็นสถาปัตยกรรมแห่งความรักที่สวยที่สุดในโลก สร้างขึ้นโดยกษัตริย์อินเดียผู้ทรงมีรักมั่นคงต่อพระมเหสีของพระองค์ ภายหลัง พระนางมุมตัส มาฮาล ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น "อัญมณีแห่งราชวัง" ติดตามพระองค์ไปในสนามรบและคลอดรัชทายาทองค์ที่ 14 ก็เสด็จสวรรคต สร้างความเสียพระทัยให้กับ พระเจ้าชาห์มาฮาน เป็นอย่างยิ่ง

การสูญเสียเท่านี้ยังไม่พอ มีเรื่องเศร้ามากไปกว่านี้อีก เมื่อ พระเจ้าชาห์มาฮาน ทรงถูก พระโอรสโอรังเซบ นำเอาไปขังไว้ที่ Agra Fort และสถาปนาตนขึ้นครองราชย์แทน พระองค์ทรงถูกขังอยู่ถึง 8 ปี จนกระทั่งเสด็จสวรรคต ในแต่ละวัน พระเจ้าชาห์มาฮาน ได้แต่ทอดพระเนตรมาที่ ทัชมาฮาล ซึ่งเป็นหลุมที่ฝังพระศพของพระมเหสีจนสิ้นพระชนม์

ตามเรื่องเล่าบอกว่า วันที่พระมเหสีของ เจ้าชายโอรังเซบ ทรงมีพระประสูติกาล วันนั้นเป็นวันที่พระโอรสทรงหวนระลึกถึงสิ่งที่ได้ทรงกระทำความผิดไว้กับ พระเจ้าชาห์มาฮาน จึงทรงให้ปล่อยพระองค์ออกจากที่คุมขัง แต่ช้าไปเสียแล้ว เพราะพระองค์สิ้นพระชนม์เสียแล้ว
ทัชมาฮาล

ตำนานการสร้าง ทัชมาฮาล ยิ่งฟังยิ่งเศร้า ผู้คนพากันยกย่องให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรัก แต่ตอนหลังเริ่มมีการตีความแตกต่างกันออกไปว่า พระเจ้าชาห์มาฮาน ทรงเห็นแก่ตัวเพราะความรักที่มีต่อพระมเหสี เนื่องจากการก่อสร้าง ทัชมาฮาล นั้นเป็นสิ่งที่หรูหราที่สุด สรรหาวัสดุที่มาประดับตกแต่งแต่ละอย่างนั้นต้องเรียกว่าสุดยอดของโลก การก่อสร้างใช้เวลาทั้งหมดกว่า 20 ปี ใช้แรงงานมากมาย หมดเงินมหาศาล สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจให้ประชาชนลำบากยากเข็ญเหลือเกิน บางคนถึงกับสรุปว่าเป็นความรักที่เห็นแก่ตัว ทั้งหมดเกิดจากการตีความของผู้คนรุ่นหลัง หรือคนในยุคปัจจุบันแล้วแต่มุมมอง

แม้จะมีการตีความกันไปตามความเห็นที่แตกต่าง แต่ต้องบอกว่าหากใครได้มีโอกาสไปเยือนสถานที่แห่งนี้ พร้อมรู้เรื่องราวความเป็นมาอย่างละเอียด จะมีความรู้สึกที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เป็นการสัมผัสความยิ่งใหญ่ระหว่างความรักของ พระเจ้าชาห์มาฮาน ที่มีต่อ พระมเหสีมุมตัส ที่สำคัญปัจจุบัน ทัชมาฮาล เป็นเป้าหมายปลายทางที่ผู้คนพากันเดินทางไปชม ปีละนับเป็นล้าน ๆ คน


Agra Fort

ทัชมาฮาล ตรงมุมที่ยืนออกไปแล้วเห็นสายน้ำยุมนานั้น บอกเล่าความไม่แน่นอนของชีวิต สายน้ำไหลไปเรื่อย ๆ ซึมซับเรื่องราวที่ผ่านมาจนมาถึง ทัชมาฮาล เซาะซัดซึมซับความรัก ความผูกพันระหว่างใจสองดวงที่มีให้กัน ซึ่งแทบจะมิอาจพบเห็นได้ในยุคปัจจุบัน ครั้นพอเดินถึง Agra Fort ดินแดนที่ พระเจ้าชาห์มาฮาน ทรงถูกขังไว้ชั่วชีวิต แล้วทอดพระเนตรมายังสถานที่ฝังพระศพมเหสีใน ทัชมาฮาล สถานที่แห่งนั้นดูเหมือนยากที่จะเข้าใกล้ แต่ พระเจ้าชาห์มาฮาน ก็ยังทรงประทับยืนทอดพระเนตรมาทุกวันจนสิ้นพระชนม์

แม้จะมีปราการเป็นสิ่งก่อสร้างขวางกั้นไว้ แต่ก็ไม่อาจแยกสายใยแห่งความผูกพันของคนทั้งสองได้ ด้วยเหตุนี้เองฉันจึงให้ฉายาว่า "ทัชมาฮาล รักสร้างโลก" เพราะแม้ใครๆ จะว่าความรักแบบนี้หลงเหลือแต่ในนิยายน้ำเน่าเก่าแก่ไม่ทันสมัยแล้ว แต่ความรักแบบนี้ยังงดงามและตราตรึงใจคนทั่วโลกอยู่เสมอ

อย่างนี้จะไม่ให้ชื่อว่า "ทัชมาฮาล รักสร้างโลก" ได้อย่างไร