วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ประโยชน์ของถั่วงอก

ว่ากันว่า "ถั่วงอก" นั้น ถือได้ว่าเป็นมรดกวัฒนธรรมอาหารของเอเชียเลยเชียว ประเทศแรกในโลกที่เพาะถั่วงอกหัวโตกินก็คือ จีน มีหลักฐานแสดงว่าจีนกินถั่วงอกมาตั้งแต่ 2,930 ปีก่อนคริสตกาล คนจีนโบราณใช้ถั่วเหลืองงอกเป็นแหล่งวิตามินซีในฤดูหนาวที่ผักและผลไม้หายาก โดยเฉพาะกะลาสีเรือจะเพาะถั่วงอกกินในเรือเพื่อป้องกันและรักษาโรคลักปิด ลักเปิด เป็นอันรู้กันว่าถั่วเหลืองงอกมีวิตามินซี ส่วนถั่วเหลืองดิบ และเต้าหู้ที่ผลิตจากถั่วเหลืองก็หามีวิตามินซีไม่

เมื่อนำถั่วเหลืองมาเพาะเป็นถั่วงอกจะมีวิตามินซีสูง (ถั่วงอก 100 กรัม มีวิตามินซี 5 มิลลิกรัม) ส่วนโปรตีนในถั่วงอกมีมากกว่าถั่วธรรมดาเล็กน้อยนอกจากนั้นการงอกยังทำให้ เกิดวิตามินบี 12 ซึ่งจำเป็นสำหรับการเติบโตและซ่อมแซมเซลล์ ถั่วงอกมีธาตุเหล็กที่ร่างกายย่อยได้ง่ายกว่าผักอื่นๆ มีวิตามินบี 17 และมีสารเลซิธิน (Lecithin) ช่วยบำรุงประสาทและการทำงานของสมอง ที่สำคัญและน่าสนใจสุดๆ สำหรับหนุ่มสาวที่ไม่อยากแก่ ถั่วงอกสดๆ มีพลังชีวิตซึ่งทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่แก่เร็ว เนื่องจากในถั่วงอกมีสารต้านความแก่ชื่อ ออซินอน (Auxinon) มีคุณสมบัติช่วงให้ร่างกายเป็นหนุ่มสาวได้นาน ไม่แก่เกินวัยไปก่อนจะถึงเวลาอันควร

ถั่วงอกเป็นแหล่งวิตามิน การแพทย์จีนจึงนำถั่วงอกหัวโตไปต้มแกงจืดกิน ช่วยขับเสมหะ ทำให้ปอดโล่ง และขับปัสสาวะ และเนื่องจากโมเลกุลของสารอาหารในเมล็ดของถั่วที่งอกได้เปลี่ยนแปลงไปอยู่ใน ลักษณะที่ร่างกายเราสามารถย่อยได้ง่าย โปรตีนถูกย่อยเป็นกรดอะมิโน แป้งเป็นคาร์โบไฮเดรตธรรมดาหรือกลูโคส และไขมันเป็นกรดไขมันเรียบร้อยแล้วถั่วงอกจึงเป็นอาหารที่ย่อยง่ายมากๆ เมื่อเรารับประทานจึงเท่ากับช่วยประหยัดการทำงานให้กับระบบย่อยอาหาร ลดของเสียและสิ่งตกค้าง (toxin)ในร่างกาย เมื่อระบบร่างกายไม่ต้องทำงานหนักเกินไป ร่างกายจึงเสื่อมช้า ไม่แก่เร็ว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์ดิจิตอล Investor Station

14 คำคมเพื่อชีวิต

1. ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ตัวเราเอง

2. ความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความอวดดี

3. การกระทำที่โง่เขลาที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การหลอกลวง

4. สิ่งที่แสนสาหัสที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความอิจฉาริษยา

5. ความผิดพลาดที่มหันต์ที่สุด ก็คือ การยอมแพ้ตัวเอง

6. สิ่งที่เป็นอกุศลที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การหลอกตัวเอง

7. สิ่งที่น่าสังเวชที่สุดในชีวิตของเรา ก็คือ ความถดถอยของตัวเอง

8. สิ่งที่น่าสรรเสริญที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความอุตสาหะ วิริยะ

9. ความล้มละลายที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความสิ้นหวัง

10. ทรัพย์สมบัติที่มีค่าที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ สุขภาพที่สมบูรณ

11. หนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ หนี้บุญคุณ

12. ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การให้อภัยและความเมตตากรุณา

13. ข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การมองโลกในแง่ร้ายและไร้เหตุผล

14. สิ่งที่ทำให้อิ่มอกอิ่มใจที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การให้ทาน

ประโยชน์หลากหลายของยาสีฟัน


1. ขจัดคราบเลอะดินสอสีเทียน - ยาสีฟันแบบที่ไม่ใช่เจล บีบเล็กน้อยทาบนคราบเปื้อน แล้วใช้ผ้านุ่มๆ ถูลบรอย จากนั้นซักออกด้วยน้ำอุ่น

2. ขจัดกลิ่นติดมือ - ลองใช้ยาสีฟันล้างแทนสบู่ ตามซอกเล็บ กลิ่นคาว กลิ่นกระเทียม กลิ่นอาหารสด จะหมดไป

3. ขัดรองเท้าผ้าใบให้เหมือนใหม่ - ใช้ยาสีฟันทาลงบนรองเท้าผ้าใบ ในบริเวณที่เป็นยาง แล้วใช้แปรงสีฟันเก่าขัดออก รองเท้าที่ดูเก่าๆ ก็จะใหม่กิ๊ก

4. ขัดแผ่นซีดี - บีบยาสีฟันลงบนก้อนสำลี เช็ดลงบนแผ่นจากจุดกึ่งกลางออกไปด้านนอก ให้ทั่วแผ่น เน้นบริเวณที่เป็นรอยขีดข่วน ล้างแผ่นด้วยน้ำสะอาดเช็ดด้วยผ้าที่ใช้เช็ดแว่น หรือผ้าอเนกประสงค์ที่ไม่เหลือคราบน้ำ รอยขีดข่วนบนแผ่นจะหายไป

5. ล้างแว่นตาดำน้ำ - ทายาสีฟันบนกระจกด้านในของ แว่นตาดำน้ำ แล้วเช็ดออก จะทำให้แว่นใสปิ๊ง ไม่เป็นฝ้า

7 เทคนิคเรียนเก่ง จากหนูดี

ข้อที่ 1 : พกปากกาสี 12 สี ติดตัวทฤษฎีสี กล่าวไว้ ว่า สีจะสามารถเพิ่มการจดจำเนื้อหาต่าง ๆ ได้มากกว่า สีน้ำเงินที่เขียนตามปกติ จึงควรซื้อปากกาสีต่าง ๆ ติดตัวไว้ เวลาอ่านหนังสือก็ใช้ปากกาสีในการจดเนื้อหา ของ stabio ก็ดีนะ ทนหลายปีเลย* สำหรับคนที่กลัวว่าจะจดไม่ทันก็ใช้วิธีจดเฉพาะเนื้อหาสำคัญพร้อมกับบันทึกเสียงไปพร้อม ๆ กัน แค่นี้ก้อสามารถจดจำได้แล้วล่ะ

ข้อที่ 2 : ใช้สมุด note ที่ไม่มีเส้นการใช้สมุด note ที่มีลายเส้นนั้นเหมือนเราอยู่แต่ในกรอบเส้นนั้น แต่ถ้าใช้สมุด note ที่ไม่มีเส้นนั้นจะทำให้เราไม่มีกรอบในการเขียน เราอยากเขียนอะไรก็อยากเขียนได้ทั้งนั้น ปัจจุบันหาซื้อยาก ต้องลองหาแถว ร้านขายสมุดวาดรูปดูน่ะ

ข้อที่ 3 : บันทึกงานออกมาในรูป Mind Map Or Pic. ถ้าเราอ่านหนังสือการ์ตูนตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว กับอ่านหนังสือ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราจะสามารถจดจำการ์ตูนได้มากกว่า เวลาจดเนื้อหาบางอย่างอาจจะจดในรูปแบบ Pic. จะสามารถจดจำได้มากกว่าการบันทึกงานในรูปแบบของ mind Map จะเป็นการแบ่งเรื่องหัวข้อใหญ่ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการอ่าน อาจใช้ mind map เป็นรูปก็ได้

ข้อที่ 4 : Mp3เราควรจะมี mp3 เพื่อใช้ในการบันทักเสียงเวลาที่คุณครูสอนแต่ไม่สามารถฟังและเก็บเกี่ยวเนื้อหาได้ครบทุกอย่างหากเราอัดไว้ก็จะสามารถย้อนกลับไปฟังได้ หลาย ๆ ครั้ง ก่อนสอบ

ข้อที่ 5 : เอาใจครูเอาใจครู ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเอาอกเอาใจครู หมายถึง ทำตัวตามสไตร์ที่คุณครูชอบ เพื่อเพิ่มความชอบของคุณครูในตนเองเวลาเราชอบครูคนไหนก็อยากเรียนกับครูคนนั้น อยากส่งงาน ครู อยากเจอหน้าครู ก็จะทำให้เรียนเก่งยิ่งขึ้น เพราะเราอยากเรียนวิชานั้น ๆ

ข้อที่ 6 : พูดคุยกับปากกาก่อนสอบ หรือก่อนเขียนงานเราควรพูดคุยกับปากกาบ้าง คุณหนูดี ก็ใช้วิธีนี้จนเรียนจบปริญญา

ข้อที่ 7 : นั่งหน้าห้อง นั่งหน้าห้องจะสามารถทำให้เราได้ยินมากกว่าคนที่นั่งข้างหลังเรา เห็นชัดกว่าคนข้างหลังเราและสามารถถามครูได้มากกว่า ซึ่งมันเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว


ขอบคุณข้อมูลจาก http://blog.spu.ac.th/
เขียนโดย pornphanh.

ทำพิซซ่ากินเองง่ายๆ ภายใน 10 นาที

พิซซ่าทำง่ายกว่าที่คิด....บทสรุปเมื่อได้เห็นคุณเมกุมิลงมือนวดแป้งไปมา ประเดี๋ยวเดียวก็ได้แป้งพิซซ่าจับใส่เตาอบ หันซ้ายหันขวาหยิบโน่นนี้มาผสมก็สำเร็จเป็นพิซซ่าร้อนๆ มาวางตรงหน้า เธอว่าสูตรนี้ได้ไอเดียจากแบบนโปลีเพราะไม่ใส่ชีส และเลือกใช้ของที่มีอยู่ในครัวมาปรุงให้ง่าย และคงความเฮลท์ตี้ไว้ไม่เปลี่ยน แต่ถ้าใครสนใจใส่ชีสหรือปรับหน้าพิซซ่าตามสไตล์ก็ไม่ว่ากันค่ะ ว่างๆลองทำดูแล้วจะรู้ว่าพิซซ่าง่ายกว่าที่คิดจริง!! แถมอร่อยทันใจไวกว่ายกหูโทรศัพท์อีกนะจะบอกให้


Healthy Pizza

ส่วนผสม (สำหรับถาดขนาด 22 ซ.ม. 1ถาด )เวลาเตรียม 10 นาที ปรุง10 นาที (ไม่รวมเวลาอบ)

ส่วนผสมแป้งพิซซ่า

แป้งสาลีอเนกประสงค์ 100 กรัม

เบคกิ้งโซดา 2 กรัม

เกลือ ½ ช้อนชา

น้ำมันมะกอก ½ ช้อนโต๊ะ

น้ำร้อน 5 ช้อนโต๊ะ

ส่วนผสมซอสพิซซ่า

ซอสมะเขือเทศ 4 ช้อนโต๊ะ

น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำปลา ½ ช้อนโต๊ะ


ส่วนผสมหน้าพิซซ่า

ซูกินี 1 ผล

พริกหวานสีเหลืองและสีแดงอย่างละ ¼ ผล

เห็ดแชมปิญอง 2 ลูก

น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ

พริกขี้หนูซอย 1 เม็ด

โหระพา

เกลือพริกไทยเล็กน้อย

มะกอกดำตามชอบ

วิธีทำ


1.เริ่มทำแป้งพิซซ่าโดย ผสมแป้ง เบกกิ้งโซดาและเกลือลงอ่างผสม ให้เข้ากัน

2.ทำหลุมตรงกลางภาชนะ ใส่น้ำมันมะกอกและน้ำร้อน นวดให้เข้ากันประมาณ 1 นาที

3.วางแป้งที่ได้ลงบนกระดาษสำหรับอบ ใช้ไม้คลึงให้เป็นแผ่นกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 22 เซนติเมตร ใช้ส้อมจิ้มให้ทั่ว ก่อนเข้าอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส 10 นาที

4. ทำซอสพิซซ่าโดยผสมส่วนผสมซอสพิซซ่าให้เข้ากัน

5. หั่นซูกินี พริกหวาน และเห็ดให้พอดีคำ นำลงผัดเร็วๆกับเกลือและพริกไทย

6.เมื่อแป้งสุกนำออกจากเตา ทาซอสพิซซ่าและวางผักที่ผัดไว้ให้ทั่ว โรยพริกขี้หนู มะกอก แล้วนำเข้าอบอีกสักครู่พร้อมเสริ์ฟรับประทานร้อนๆ

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

6 วิธีเพิ่มพลังในทุก ๆ วัน

เคล็ดลับสุขภาพ

เหนื่อยมั้ย? ที่ต้องทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน สารพัดประชุมที่ต้องเข้าร่วม แม้กระทั่งคุยโทรศัพท์ ตอบอีเมลล์และกินมือเที่ยงที่โต๊ะทำงานตัวเอง ร่างกายมนุษย์เราไม่ใช่เครื่องจักรนะจ๊ะ (หรือถึงเป็นเครื่องจักรถ้าทำงานตลอดเวลาก็ยังพังได้เลย)
หันมาดูแลร่างกายตัวเองกันบ้างดีกว่า ถ้างั้นลองมาดูเคล็ดลับ 6 ข้อนี้กันเลย

1. พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แม้การงีบหลับสักตื่นก็ช่วยให้ร่างกายสดชื่นได้ แต่เราควรนอนให้ได้ 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายพักผ่อนอย่างเต็มที่และเพื่อให้สมองเราเปิดรับการเรียนรู้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยที่มีกลยุทธง่าย ๆ 2 วิธี

อันดับแรก ต้องกำหนดเวลานอนและล้มตัวลงนอนก่อนอย่างน้อย 30-45 นาที โดยหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่จะกระตุ้นให้เราตื่นตัว เช่น ตอบอีเมลล์หรือคุยโทรศัพท์ เป็นต้น และหันไปหาวิธีการผ่อนคลายแทนสักอย่าง เช่น อาบน้ำอุ่น หรืออ่านหนังสือ

อันดับที่ 2 ก่อนนอนลองใช้เวลาสัก 2-3 นาทีเพื่อทบทวนดูว่ามีอะไรรบกวนจิตใจเราอยู่รึเปล่า แล้วจดใส่กระดาษไว้เพื่อกันไม่ให้เรื่องเหล่านี้ทำให้คุณข่มตาหลับไม่ลง หรือว่าต้องตื่นขึ้นมากลางดึก

2. พักสักนิดอย่างน้อยทุก ๆ 90 นาที การทำงานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานอย่างแน่นอน อยากให้คุณลองใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีเพื่อรีชาร์จร่างกายคุณสักหน่อย โดยลองหลับตาและหายใจเข้านับ 1 ถึง 3 และค่อย ๆ ปล่อยลมออกทางปากแล้วนับ 1 ถึง 6 ฝึกและทำเป็นประจำ เพียงเท่านี้ก็ช่วยฟื้นฟูร่างกาย และทำให้ผ่อนคลายได้มากขึ้น

3. หมั่นจดรายการที่ต้องทำ หากมีสิ่งที่ต้องทำมากมาย คุณก็ควรจดรายการเอาไว้ เพื่อที่จะเรียบเรียงและจัดการให้เป็นระเบียบ ซึ่งจะช่วยไม่ให้สมองทุกอย่างของคุณเก็บกักไว้เกินความจำเป็น

4. ออกกำลังกายและงีบหลับ ไม่มีทางไหนที่จะเคลียร์หัวสมองของคุณได้ดีเท่ากับการออกกำลังกายแล้ว และข้ออ้างสุดฮิตของคนไม่ออกกำลังกาย คงเป็น "ไม่มีเวลา" ถ้างั้นเราจะบอกว่าคุณสามารถทำได้ในช่วงมื้อเที่ยง เชื่อไหม?
ไม่ต้องสนใจเรื่องเข้ายิม หากคุณไม่มีเวลาไป เพียงแค่ใช้เวลาสัก 15 ถึง 30 นาที เดินออกไปหาอะไรกินข้างนอกในเวลาพักกลางวัน หรือแม้กระทั่งอยู่ในออฟฟิศก็ทำได้ โดยการเดินขึ้นลงบันไดก็ได้นะ

นอกจากนี้ เพียงแค่งีบหลับในช่วงเวลากลางวันสั้น ๆ สามารถช่วยให้คุณกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้และจะช่วยให้สามารถทำให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เทียบกับคนที่ไม่ได้นอนหลับเลยหลังจากทำงานเป็นเวลานาน ๆ

5. ฝึกที่จะรู้จักชื่นชม ลองหาโอกาสชื่นชมใครสักคนและแสดงให้เขารู้ว่าคุณรู้สึกยังไงกับเขา โดยบอกตรง ๆ หรือเขียนโน้ตให้เขา ซึ่งจะเป็นการให้พลังด้านบวกแก่เขาและการแบ่งบันความคิดในเชิงบวกนั้นก็จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นด้วย เช่นเดียวกันคุณก็ต้องหัดชื่นชมตัวเองด้วย เพื่อลิ้มรสความสุขเล็ก ๆ และให้กำลังใจตัวเองเมื่อสมควร พร้อมทั้งรู้จักให้อภัยตัวเอง เมื่อคุณผิดพลาด

6. เปลี่ยนกิจวัตรระหว่างที่ทำงานและบ้าน คนส่วนใหญ่มักจะนำงานกลับไปทำที่บ้านด้วย นั้นแสดงให้เห็นว่าคุณไม่สามารถละทิ้งงานได้เลย ทั้งที่เลิกงานแล้ว คนเราต้องผ่อนคลายกันบ้างนะ อย่าเอาตัวผูกกับงานมากเกินไปจนนำกลับไปที่บ้าน สถานที่ซึ่งควรจะเป็นที่ ๆ ทำให้คุณได้ฟื้นฟูตัวเองจากงานที่ทำมาตลอดทั้งวัน โดยที่ระหว่างทางกลับบ้านอาจจะหยุดรถแวะสวนสาธารณะ แล้วทอดอารมณ์สักเล็กน้อยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายลง ก่อนเดินทางกลับบ้านอันแสนสุข

Les proverbes et les dictons


"Tout n'est pas rose dans la vie." การดำเนินชีวิตย่อมมีอุปสรรค(ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ)

"Mange pour vivre, et ne vis pas pour manger .กินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน

"La conscience fait de nous tous des lâches." วัวสันหลังหวะ

"Les murs ont des oreilles."กำแพงมีหูประตูมีช่อง

"Un homme n'est rien sans les manières" กิริยาบอกตระกูล

"Mieux vaut prévenir que guérir." กันไว้ดีกว่าแก้

"La belle plume fait le bel oiseau." ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง

"Les mauvaises nouvelles se répandent vite." ข่าวร้ายไปเร็ว

"Tout ce qui brille n'est pas or" ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง

"Entrer par une oreille et sortir par l'autre." เข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา

"L'amour est aveugle." ความรักทำให้ตาบอด

"L'argent ne fait pas le bonheur" เงินซื้อความสุขไม่ได้

"Toutes les bonnes choses ont une fin." งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา,(ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกรา)

"Il n'est pire eau que l'eau qui dort" น้ำนิ่งไหลลึก

"Le stylo est plus puissant que l'épée." ปากกามีอำนาจมากกว่าดาบ

"Miel dans la bouche et un rasoir à la ceinture." ปากหวานก้นเปรี้ยว

"La Vie n'est pas juste." ฝนตกไม่ทั่วฟ้า

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ไทยติดอันดับ 37 ประเทศเสี่ยงภัยพิบัติทางธรรมชาติ


ไทยติด อันดับที่ 37 ประเทศเสี่ยงภัยธรรมชาติมากที่สุด เตือนนักลงทุนควรศึกษาบทเรียนจากสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นปัจจุบัน

บริษัทวิเคราะห์ความเสี่ยง เมเปิลครอฟท์ ทำการจัดอันดับ 200 ประเทศเสี่ยงภัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระยะปานกลาง พบ 10 ประเทศที่มีความเสี่ยงมากที่สุด ได้แก่ เฮติ บังกลาเทศ เซียร์ราลีโอน ซิมบับเว มาดากัสการ์ กัมพูชา โมซัมบิก สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก มาลาวี และฟิลิปปินส์ ขณะที่ไทยติดอันดับความเสี่ยงที่ 37 และประเทศที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุดคือ ไอซ์แลนด์

โดยการสำรวจครั้งนี้ยังพบ 6 เมือง ที่เสี่ยงภัยต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดได้แก่ เมืองกัลกัตตา ของอินเดีย กรุงมะนิลา ของฟิลิปปินส์ กรุงจาการ์ตา ของอินโดนีเซีย กรุงธากา และเมืองจิตตะกอง ของบังกลาเทศ กรุงแอดดิสอาบาบา ของเอธิโอเปีย ทั้งนี้เกิดจากรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพ มีการทุจริต ความยากจน และปัจจัยทางเศรษฐกิจ ที่เพิ่มความเสี่ยงให้แก่ชาวเมืองและภาคธุรกิจ ทำให้ไม่สามารถแก้ไขภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นได้

ในส่วนของประเทศไทย ถูกกล่าวถึงว่า เป็นอีกประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วและกำลังเผชิญกับภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับห่วงโซ่ อุปทานระดับโลก และนักลงทุนควรศึกษาบทเรียน จากสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นในไทยขณะนี้

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สุขาใช้ง่าย สบายก้น กับวิธีป้องกันน้ำทะลักจากส้วม

ห้องน้ำ

จากสภาวะน้ำท่วมที่กำลังวิกฤคิในขณะนี้ ... หลายพื้นที่ในหลายจังหวัดต่างต้องจมอยู่ใต้บาดาล โดยที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า เมื่อไรสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้จะผ่านพ้นไปสักที ชาวบ้านบางคนต้องอพยพออกจากบ้านไปยังศูนย์อพยพต่างๆ เพราะน้ำท่วมสูงมิดหลังคาจนไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ส่วนชาวบ้านบางคนก็ติดอยู่บนชั้นสอง รอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง...

วันนี้กระปุกดอทคอมขอนำเอาวิธีง่ายๆ ของคนกรุงเทพตะวันออก บอกกล่าว "ในการสร้างส้วมฉุกเฉิน และวิธีกันน้ำทะลักจากชักโครก" มาฝากกันค่ะ


สาขาฉุกเฉิน สบายกัน

วิธีทำ

ขั้นตอนแรก ต้องปิดวาล์วน้ำเสียก่อน ป้องกันการทะลักของน้ำ

ตักน้ำในชักโครกออก

ยกฝารองนั่งขุ้น นำถุงดำใส่ลงไปแล้วปิดฝารองนั่ง โดยให้ฝารองนั่งทับถุงดำไว้ จากนั้นพอทำธุระเสร็จก็รวบแล้วมัดปากถุงให้แน่น




วิธีป้องกันน้ำทะลักมาจากชักโครก

วิธีทำ

หาวิธีอุดน้ำที่จะเข้ามาทางชักโครก อาขขะใ้ทราย ดินน้ำมัน ดินเหนียว หรืออื่นๆ ใส่เข้าไปในโถ (ตามรูป) แล้วเหยียบอัดเข้าไปแน่นๆ แต่ทั้งนี้ก็ต้องเผื่อตอนี่ดึงออกมาด้วย อย่าเหยียบจนลึกเกินไปจนเอาออกไม่ได้

ตักน้ำในชักโครกออก

หาเสื้อตัวใหญ่ๆ ที่ไม่ได้ใช้ มัดแขน ปิดคอให้แน่นๆ จากนั้นใส่ทรายเข้าไปให้เต็มแล้ววางับลงไปอีกชั้นหนึ่ง พร้อมอุดให้แน่นๆ พยายามอย่าให้มีช่องว่าง




วิธีกันน้ำล้นจากท่อระบายน้ำในห้องน้ำ

วิธีทำ

หาท่อพีวีซี (PVC) ที่มีขนาดเล็กกว่าท่อน้ำทิ้งยาวประมาณ 2 เมตร เสียบลงตรงรูระบายน้ำ

จากนั้นเอาซิลิโคนยางอีดเข้าไป หรือใช้ดินน้ำมันอุด อัดรอบๆ ให้แน่น

เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก กรุงเทพตะวันออก บอกกล่าว

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

10 ตำนานลึกลับของอารยธรรมอียิปต์โบราณ


1 . พระนางคลีโอพัตรา กับรูปโฉมที่แท้จริง

พระนางคลีโอพัตตรา Cleopatra VII นับได้ว่าเป็นผู้ปกครองอียิปต์โบราณที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ซึ่งในความรู้สึกนึกคิดของคนทั่วไป เธอคือพระราชินีผู้ทรงเสน่ห์ที่สุด มีรูปโฉมที่งดงาม เพรียบพร้อมไปด้วยกลเม็ดเด็ดพรายในเชิงพิศวาส สามารถมัดใจชายได้อย่างอยู่หมัด แต่แท้ที่จริงแล้ว เสน่ห์ของพระนางคลีดอพัตราไม่ได้อยู่ที่เนื้อหนังสังสาหรือความงดงามแห่งใบหน้าและเรือนกายเลย แต่อยู่ที่สติปัญญาและความเฉลียวฉลาดรู้เท่าทันคนต่างหาก โดยมีหลักฐานชิ้นหนึ่งที่บ่งบอกถึงความจริงเรื่องนี้ ก็คือการค้นพบรูปปั้นส่วนพระเสียรขององค์ราชินีและเหรียญที่มีภาพพระพักตร์ของพระนาง ซึ่งเป้นการค้นพบของนักโบราณคดีรายหนึ่ง

2. ความเชื่อเกี่ยวกับความตาย

ชาวอียิปต์โบราณมีความเชท่อที่ว่า เมื่อคนตาย ดวงวิญญารออกจากร่างไปเพียงชั่วคราว เพื่อเดินทางไปพบกับพระเจ้าในโลกหน้า แล้วจะกลับมาในวันหนึ่งข้างหน้า ทั้งนี้ เมื่อวิญญารกลับมาแล้วก็ต้องมีร่างกายอยู่ และร่างที่จะอาศัยอยู่ได้ต้องเป็นรา่งของตัวเองเท่านั้น และด้วยความเชื่อนี้เองจึงทำให้เกิดวิธีการดูแลศพหรือที่เรารู้จักกันอย่างดีกับการทำ มัมมี่ เพื่อให้ศพยังอยู่ในสภาพที่ดี ไม่เน่าเปื่อยนั่นเอง

3. การปรากฏตัวของเอเลี่ยน

ในทุกวันนี้กระแส เอเลี่ยน หรือมนุษย์ต่างดาว ก็ยังคงมีให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการปรากฏตัวของเองเลี่ยนมีให้เห็นมาแล้วตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณทีเดียว สิ่งหนึ่งที่ยืนยันในเรื่องนี้ ก็มาจากภาพบนฝาผนังภายในสุสานในเมืองกิซ่า โดยหนึ่งในภาพบนฝาผนังนั้นมีการวาดภาพของเอเลี่ยนปะปนอยู่ด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจด้วย เพราะบางทีภาพๆ นี้ อาจจะเป็นเพียงแค่รูปของสิ่งของอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายกับเอเลี่ยนเท่านั้นเอง

4. ที่สุดแห่งการค้นพบ

อีกสิ่งหนึ่งที่น้อยคนนักจะนึกถึงและรู้จักเกี่ยวกับประวัติของอียิปต์โบราณก็คือในเรื่องของการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ เพราะนอกจากมหาพีระมิดต่างๆ แล้ว ข้อมูลอันล้ำค่าทางประวัติศาสตร์ที่ค้นพบกันนั้นก็คือ เรือ โซล่าร์ Solar Boat หรือเรือแห่งแสงอาทิตย์ที่เชื่อกันว่า จะเป็นพาหนะที่นำพาวิญญาณขององค์กษัตริย์ไปหาเทพเจ้าแห่งแสงอาทิตย์บนสวรรค์ได้ เรือโซล่าร์นี้สร้างขึ้นจากไม่มากกว่า 1200 ชิ้น สันนิษฐานว่าสร้างตั้งแต่ 2500 ปีก่อนคริสตกาลและอาจจะเป็นเพียงเครื่องบูชาพระศพในสุสาน ไม่ได้ไปใช้ล่องในแม่น้ำจริงๆ แต่อย่างใด



5. อักษรภาพอียิปต์โบราณ

อักษรภาพอียิปต์โบราณหรือที่เรียกกันว่า ฮีโรกริฟฟิค Hieroglyphs ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งในความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ความชำนาญทางศิลปหัตถกรรม งานช่าง และการทำหนังสือของชาวอียิปต์โบราณถือเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมากๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของพวกเขาที่มีอำนาจและอิทธิพลต่อพิธีกรรมและการดำรงค์ชีวิตอย่างสูง สำหรับอักษรภาพอียิปต์โบราณนี้ เป็นภาพอักษรที่มักจะสลักเรื่องราวเกี่ยวกับองค์ฟาโรห์ ราชวงค์ การเมืองการปกครอง และเรื่องราวทางศาสนา ซึ่งจะมีปรากฏให้เห็นอยู่ตามวิหารและสิ่งก่อสร้างทั้งหลาย โดยแต่ละภาพก็จะมีการสื่อความหมายที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งนี่เองจึงทำให้การค้นพบในครั้งแรกๆ นั้น ก็สร้างความมึนงงให้เหล่านักสำรวจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว


6. การตกแต่งภายในพีระมิด

นอกจากโครงสร้าง วัสดุ และวิธีการสร้างพีระมิด จะมีความอลังการงานสร้างอย่างยิ่งใหญ่มากๆ แล้ว ภายในของพีระมิดเองยังมีการตกแต่งอยู่อย่างสวยงามตามสมัยอีกด้วย สิ่งหนึ่งที่พบได้ภายในพีระมิด นั่นก็คือ เหล่าบรรดาอักษรภาพฮีโรกริฟฟิคอายุอานามกว่า 4000 ปี ซึ่งช่วยให้พีระมิดที่ค้นพบกันนั้นกลายเป็นสถาปัตยกรรมอันล้ำค่าและมรอายุเก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกใบนี้

7. องค์ฟาโรห์กับการฝังทาสรับใช้

หลังจากการสิ้นพระชนม์ขององค์ฟาโรห์แล้ว เหล่าบรรดาข้าทาสบริวารของพระองค์ไม่ได้ถูกฆ่าหรือโดนฝังทั้งเป็นในสุสานขององค์ฟาโรห์อย่างที่เคยทราบๆ กันแต่อย่างใด เพราะมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นหนึ่ง ได้กล่าวไว้ว่า องค์กษัตริย์ฟาโรห์องค์สุดท้ายทรงเล็งเห็นว่า ข้าทาสของพระองค์ยังสามารถทำประโยชน์อื่นๆ ได้มากกว่าการถูกฆ่าหรือฝังไปอย่างเปล่าประโยชน์ และเพื่อไม่ให้เป็นการขัดต่อประเพณีที่มีการสืบต่อกันมาช้านาน พระองค์จึงทรงรับสั่งให้นำ ชับติ Shabti หรือรูปแกะสลักที่ทำจากหลากหลายวัสดุ ทั้ง ขี้ผึ้ง ไม่ ดินเหนียว หิน แก้ว ดินเผา และสัมฤทธิ์ โดยทำหน้าที่เหมือนคนรับใช้ลงไปฝังในสุสานแทนชีวิตของคนเป็นๆ

8. เหล่าทาสคือผู้สร้างพีระมิด

เป็นที่ถงเถียงกันอยู่พอสมควร กับประเด็นที่ว่าด้วยความยิ่งใหญ่ของพีระมิดประกอบกับความที่เทคโนโลยีและหลักการทางวิศวกรรมต่างๆในสมัยนั้นยังไม่น่าจะเจริญเท่าที่ควร ใครคือผู้สร้างพีระมิดกันแน่ และใช้วิธีการใดในการขนย้ายก้อนหินที่มีน้ำหนักมากๆ ขึ้นที่สูงกันได้ ทั้งนี้ จากหลักฐานของนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก ได้ระบุเอาไว้ในช่วงศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาลที่ว่า เหล่าบรรดาช่างฝีมืออียิปต์มากมายนับหมื่นนับแสนคน คือผู้ที่สร้างพีระมิดอันยิ่งใหญ่ตระการตา ไม่ใช่ทาสอย่างที่ในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดตีความหรือสร้างฉากให้เห็นกันก่อนหน้านี้แต่อย่างใด

9. ชาวอิสราเอลคือทาสของอียิปต์ในยุคนั้น

สิ่งที่เราๆ ท่านๆ ได้เคยเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติของอียิปต์นั้น หลักๆ ก็คือเรื่องของการสร้างพิระมิด องค์กษัตริย์ฟาโรห์ และอื่นๆ อีกสารพัด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายต่อหลายคนคงจะนึกกันไปว่า ทาสรับใช้คงจะเป็นชาวอียิปต์กันแน่ๆ แต่แท้ที่จริงแล้ว เหล่าทาสรับใช้ต่างเป็นชาว ฮิบรู Hebrew หรือชาวอิสราเอลในปัจจุบันนั่นเอง ซึ่งจากคำกล่าวในคัมภีร์ไบเบิลนั้น ได้ระบุไว้ว่า ชาวฮิบรูได้ตกเป็นทาสของอียิปต์นับตั้งแต่ที่องค์กษัตริย์ทำการยึดดินแดนและอาณาจักรต่างๆ เข้ารวมกันเป็นอารยะรรมอียิปต์ ซึ่งนั้นทำให้ชาวฮิบรูต้องมีสถานะเป็นทาส และเป็นเบี้ยล่างให้กับอียิปต์ไปโดยปริยาย




10. คำสาปแช่งขององค์ฟาโรห์

เป็นที่เล่าลือกันว่า ผู้ใดก็ตามที่่มาเปิดหลุมฟังพระศพขององค์ฟาโรห์ตุตันคามุน Pharaoh Tutankhamun จะต้องคำสาปที่นักบวชไอยคุปต์บรรจงสลักไว้ภายในสุสาน ซี่งจะส่งผลให้เกิดอาถรรพ์การเสียชีวิตอย่างน่าพิสวงขึ้น เหมือนอย่างเช่นเหตุการณ์ที่เกินขึ้นกับ ลอร์ด คาร์นาร์วอน Lord Carnarvon กับคณะสำรวจของ โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ Howard Carter ที่เขาได้ว่าจ้างให้ทำการสำรวจค้นหาสุสานฟาโรห์ตุตันคามุน ซึ่งผลสุดท้ายแล้ว ทั้งหมดเสียชีวิตไปโดยที่แพทย์ไม่สามารถวินิจฉัยอาการได้เลย




เผย 10 อันดับ สุดยอดแบรนด์สินค้าโลก ปี 2011

สถิติ



อันดับ 1 คือ โคคา โคล่า มูลค่าทรัพย์สิน 71,861 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
อันดับ 2 คือ ไอบีเอ็ม มูลค่าทรัพย์สิน 69,905 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
อันดับ 3 คือ ไมโครซอฟท์ มูลค่าทรัพย์สิน 59,087 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
อันดับ 4 คือ กูเกิ้ล มูลค่าทรัพย์สิน 55,317 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
อันดับ 5 คือ เจเนอรัล อีเล็คทริก มูลค่าทรัพย์สิน 420,808 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
อันดับ 6 คือ แม็คดดนัลด์ มูลค่าทรัพย์สิน 35,593 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
อันดับ 7 คือ อินเทล มูลค่าทรัพย์สิน 35,217 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
อันดับ 8 คือ แอปเปิ้ล มูลค่าทรัพย์สิน 33,492 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
อันดับ 9 คือ ดีิสนี่ย์ มูลค่าทรัพย์สิน 29,018 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
อันดับ 10 คือ ฮิวเล็ตต์ แพ็คคาร์ด มูลค่าทรัพย์สิน 28,479 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ


วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตลาดร่มหุบ, ตลาดรถไฟ


ตลาดร่มหุบ

ตลาดร่มหุบ หรืออีกชื่อหนึ่งว่า ตลาดแม่กลอง แต่ชาวบ้านมักจะเรียกว่า ตลาดเสี่ยงตายเป็นตลาดที่ติดอยู่กับ สถานีรถไฟแม่กลอง และก็เป็นส่วนหนึ่งของตลาดเทศบาลจังหวัดสมุดสงคราม ตลาดร่มหุบ เริ่มมาตั้งขาย บริเวณทางริม รถไฟประมาณปี พ.ศ. 2527 เป็นตลาดที่อยู่บนทางรถไฟ สายแม่กลอง-บ้านแหลมพ่อค้า-แม่ค้า ตั้งแผงสองข้างทางรถไฟ
ส่วนลูกค้าก็อาศัยทางรถไฟเป็นถนน สำหรับจับจ่ายซื้อของ นักท่องเที่ยวหลายคน ใช้ วิธีท่องเที่ยว โดยการมาขึ้น รถไฟที่สถานีรถไฟบ้านแหลม มายังสถานีรถไฟแม่กลอง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ กระจาด กระบุง ตะกร้า จะถูกจัดวางเข้าๆออกๆ
อย่างเป็นระเบียบและรวดเร็วภายในพริบตา รถไฟขบวนนี้เป็น สายสั้น จากสถานีมหาชัยถึงสถานีแม่กลอง เมื่อได้ยินเสียงระฆังหรือธงที่โบกสะบัด จากนายสถานี ก็เริ่มจับตา มอง ต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เรียกได้ว่าเป็นงานประจำของพ่อค้าแม่ขายทั้งหลายเหล่านี้ แต่เป็นเสน่ห์ และความสนุกสนานของบรรดา นักท่องเที่ยวนั่นเองเมื่อรถไฟผ่านไป ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิม


และถ้าใครอยากมาเที่ยวที่นี่ เพื่อดูร่มหุบแล้วล่ะก็ คงต้องมากันให้ถูกเวลา กำหนดเวลาเดินรถไฟสายแม่กลอง- บ้านแหลม เวลาเข้า-ออก (จำนวน 2 โบกี้)คือ ออก : 6.20 น.,9.00 น. ,11.30 น.,15.30 น. เข้า :8.30 น. 11.10 น.15.30 น. แน่นอนว่าเมื่อมีโอกาสมาตลาดแม่กลองแล้ว อาหารที่ขึ้นชื่อว่าอร่อยติดอันดับนั่นก็คือ ปลาทูหน้างอ คอหัก ที่ต้องบอกว่าอร่อยที่สุด โดยเฉพาะหน้าหนาว

ผู้พบภูมิคุ้มกันมนุษย์ใหม่ คว้าโนเบลแพทยศาสตร์


ผู้พบภูมิคุ้มกันมนุษย์ใหม่ คว้าโนเบลแพทยศาสตร์ (ไทยโพสต์)
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก vixra.files.wordpress.com

รางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ ประจำปี 2554 ตกเป็นของ 3 นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบความลับใหม่ของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ ที่สามารถช่วยต้านเนื้องอกและมะเร็งร้ายได้

สถาบันแคโรลินสกาแห่งประเทศสวีเดน ประกาศมอบรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์แก่นักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐ "บรูซ บิวต์เลอร์" และนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสเชื้อสายลักเซมเบิร์ก "ฌูเลส์ ฮอฟฟ์แมนน์" และชาวสหรัฐเชื้อสายแคนาดา "ราล์ฟ สไตน์แมน"

สถาบันชี้แจงว่า ผู้ได้รับรางวัลโนเบลปีนี้ปฏิวัติความเข้าใจด้านการแพทย์ ผ่านการค้นพบเซลล์ภูมิคุ้มกันที่เป็นกุญแจสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันทั้งหมด ของร่างกายมนุษย์ บิวต์เลอร์ และฮอฟฟ์แมนน์ ได้รับรางวัลครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด 1.46 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนสไตน์แมนรับอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ งานของนักวิทยาศาสตร์ทั้ง 3 มีความสำคัญต่อความเข้าใจ และการพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ เพื่อต่อต้านโรคร้ายต่างๆ ไปจนถึงการรักษาโรคมะเร็ง งานวิจัยของทั้งสามยังช่วยวางรากฐานการแพทย์แผนใหม่ ที่ใช้ "วัคซีนบำบัด" กระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายกำจัดเซลล์เนื้องอก

นอกจากนี้ การทำความเข้าใจระบบภูมิคุ้มกันอันซับซ้อนของร่างกายมนุษย์ สามารถนำมาปรับใช้เพื่อทำความเข้าใจอาการของโรคอักเสบตามร่างกายต่างๆ เช่น โรคข้ออักเสบ ที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำลายเนื้อเยื่อของตนเอง

บิวต์เลอร์ และฮอฟฟ์แมนน์ ค้นพบโปรตีนในร่างกายที่ทำหน้าที่จำแนกจุลชีพที่เป็นภัยต่อร่างกาย และกระตุ้นให้ "ระบบภูมิคุ้มกันขั้นต้น" ทำงาน ส่วนสไตน์แมนค้นพบเซลล์ภูมิคุ้มกันแบบมีแขนง ที่มีความสามารถในการกระตุ้นและควบคุมระบบคุ้มกัน ซึ่งปรากฏในช่วงท้ายของการกำจัดจุลชีพออกจากร่างกาย อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า นายสไตน์มาน เพิ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ที่ผ่านมา ก่อนการประกาศรางวัลเพียงไม่นาน

ส่วนการประกาศรางวัลโนเบลสาขาอื่น ๆ จะมีขึ้นปตลอดสัปดาห์นี้ ได้แก่ รางวัลในสาขาฟิสิกส์ เคมี วรรณกรรม และสันติภาพ

วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

อิ่มใจ อิ่มจัง... กินเจ ถูกหลักอนามัย

อาหารเจ

อิ่มใจ อิ่มจัง... กินเจ ถูกหลักอนามัย (สสส.)
เรื่องโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

เริ่มแล้วกับเทศกาลอิ่มบุญ หรือที่เรารู้จักกันดีในเทศกาล "กินเจ" ซึ่งในช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่หลายคนจะถือโอกาสในการทำบุญถือศีล ด้วยการละเว้นจากการบริโภคเนื้อสัตว์ เพราะการรับประทานเนื้อสัตว์ถือเป็นการเบียดเบียน และที่สำคัญประชาชนส่วนใหญ่จะได้หันมารับประทานผักเพื่อสุขภาพกันอีกด้วย แต่พึงระวัง...หากเรารับประทานอาหารเจโดยลืมคำนึงถึงหลักโภชนาการ ก็อาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพของเราได้เช่นกัน

ผู้เชียวชาญด้านโภชนาการอย่าง นายสง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการแผนงานโภชนาการเชิงรุก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) บอกกับเราว่า เทศกาลกินเจ ถือเป็นเทศกาลที่ต้องถือศีล ไม่ใช่มีแต่เรื่องของการรับประทานเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ปองร้ายหรือนินทาว่าร้ายผู้อื่น และที่สำคัญต้องละเว้นจากการรับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิดอีกด้วย ซึ่งคนส่วนใหญ่จะเน้นในเรื่องของการรับประทานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจริง ๆ แล้วต้องทำควบคู่กันไปจึงจะถูกต้อง

การรับประทานอาหารเจ ดูผิวเผินน่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่ทุกคน ที่หันมาบริโภคผัก ผลไม้ แทนเนื้อสัตว์ หากแต่ทุกอย่างย่อมมีสองด้านเสมอ เราจึงควรระมัดระวังในการรับประทานอาหารในช่วงเทศกาลกินเจเช่นกัน ซึ่งนายสง่า ได้บอกเกี่ยวกับการรับประทานอาหารเจให้ถูกต้องไว้ว่า สิ่งแรกที่เราควรต้องคำนึงคือ การเลือกรับประทานอาหารเจให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะในหมู่ของโปรตีน ที่คนส่วนใหญ่ที่รับประทานเจมักจะขาด เพราะโปรตีนจะได้จากการบริโภค เนื้อสัตว์ ไข่ นม เป็นต้นซึ่งเป็นอาหารที่ผู้รับประทานเจไม่สามารถรับประทานได้ เราจึงต้องมาดูว่าเราจะได้โปรตีนจากที่ใดได้อีก ซึ่งโปรตีนที่ดีที่สุดของคนที่รับประทานเจนั่นคือ ถั่วเมล็ดแห้ง จะมีอยู่ในอาหารจำพวก น้ำเต้าหู้ ฟองเต้าหู้ หรือโปรตีนเกษตร

"อาหารประเภทเต้าหู้นี้แหละที่จะทำให้คนที่รับประทานเจได้โปรตีนอย่างเต็มที่ ซึ่งโปรตีนเหล่านี้จะใกล้เคียงกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์มากที่สุด เพราะมีกรดอะมิโนแอซิด ซึ่งหากเรารับประทานพร้อมกับข้าวหรืออาหารประเภทงา ที่เป็นคาโบไฮเดรต มันก็จะได้กรดอะมิโนที่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นการจะได้รับสารอาหารครบนั้น เราต้องมั่นใจว่าอาหารเจที่เราทานต้องมีส่วนผสมของถั่วเมล็ดแห้งเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วยทุกครั้งและรับประทานควบคู่ไปกับการรับประทานผลไม้ เพื่อจะได้สารอาหารครบ 5 หมู่" นายสง่ากล่าว

อาหารเจ

ประเด็นต่อมาที่น่าเป็นห่วงของการรับประทานอาหารเจ นั่นคือรสชาติของอาหาร นายสง่า แนะนำว่า ควรเลือกรับประทานอาหารเจที่มีรสชาติปานกลาง ไม่รสจัด ไม่หนักหวาน มันหรือเค็มจนเกินไป ซึ่งโดยส่วนใหญ่อาหารเจที่ขายทั่วไปตามท้องตลาดจะมีรสเค็ม เพราะมีโซเดียมในปริมาณที่มาก หากรับประทานเข้าไปบ่อย ๆ อาจทำให้เกิดภาวะความดันสูงโลหิตสูงได้ อีกทั้งไตจะทำงานหนักจนเกินไปส่งผลเสียต่อร่างกายได้

"ในอาหารเจทั่วไป เรามักจะไม่ใส่น้ำปลา แต่จะใช้เครื่องปรุงจำพวกซีอิ้วขาว เกลือและผงชูรสแทนในปริมาณมาก นั่นแปลว่าเราจะได้รับโซเดียมในปริมาณมากเกินที่ร่างกายควรจะได้รับ ดังนั้นเราจึงควรหลีกเลี่ยง" นายสง่าแนะนำ

นอกจากนี้ อีกสิ่งที่ต้องระวัง นั่นคือโรคอ้วน เพราะในอาหารเจนั้นจะมีส่วนผสมของแป้งจำนวนมาก อีกทั้ง การที่เราไม่สามารถรับประทานเนื้อสัตว์ได้ ทำให้เราเกิดอาการหิวบ่อยขึ้น คนส่วนใหญ่จึงนิยมรับประทานข้าวให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้หิว จึงทำให้ในร่างกายมีแป้งเกินความพอดี จนส่งผลให้เกิดโรคอ้วนตามมาได้ รวมไปถึงความมันในอาหารเจอีกด้วย ส่วนใหญ่อาหารเจจะปรุงจากน้ำมัน เช่น ผัดหรือทอด ซึ่งการได้รับไขมันที่มากเกินไป จนเผาผลาญไม่หมด มันก็จะสะสมอยู่ในรูปของไขมัน ทำให้อ้วนได้เช่นกัน ทางที่ดีหันมารับประทานอาหารเจจำพวก ต้ม เช่น จับฉ่าย ต้มจืด น่าจะดีกว่า

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดของการระมัดระวังในการบริโภคอาหารเจ นั่นคือ ความสะอาดและปลอดภัย อาหารเจส่วนใหญ่ อุดมไปด้วยผัก ถ้าเราล้างไม่สะอาด ผักนั้นก็จะอุดมไปด้วยสารพิษ อย่างยาฆ่าแมง สารเคมีต่าง ๆ ที่ตกค้างในผัก หากเป็นเช่นนั้น อาหารที่เรารับประทานก็จะกลายเป็นสารพิษจานพิเศษในทันที ฉะนั้นเราควรล้างผักให้สะอาดก่อนการปรุงอาหารทุกครั้งเสมอ

การรับประทานอาหารเจให้ปลอดภัยยังไม่หมดเท่านี้ โดย นายสง่า ยังฝากถึงผู้ที่ชอบรับประทานอาหารกระป๋อง เช่น ผักกาดกระป๋อง หากจะรับประทานตลอดเทศกาลกินเจมันคงไม่ดีต่อร่างกายแน่ เพราะอย่าลืมว่าอาหารเหล่านั้นคุณค่าทางโภชนาการจะต่ำกว่าผักสด หากจำเป็นต้องรับประทานควรรับประทานสลับกับการรับประทานอาหารอื่น ๆ ด้วย รวมถึงอาหารสีฉูดฉาดก็ควรหลีกเลี่ยงด้วยเช่นกัน

เพียงแค่นี้การรับประทานเจในปีนี้ของเราก็จะได้ทั้งอิ่ม และได้ทั้งบุญ แถมร่างกายไม่ต้องเสี่ยงอันตรายกับโรคร้าย ได้คุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนอีกด้วย อย่าลืมปฏิบัติตามคำแนะนำกันนะคะ

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

เครื่องดื่มซ่า ที่น่ากลัว

ในบรรดาเครื่องดื่มต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน น้ำอัดลม เป็นเครื่องดื่มที่จัดว่าไร้ประโยชน์ต่อร่างกายอย่างยิ่ง แถมยังเป็นโทษต่อสุขภาพอย่างมาก

มองไปบนโต๊ะในร้านอาหารเกือบทุกแห่ง น้ำอัดลมหลากสีจัดเป็นเครื่องดื่มยอดนิยม สำหรับหลาย ๆคนในบ้านเราและบ้านอื่น ทั่วโลก

นอกจากรสหวานที่ดึงดูดใจให้ต้องดื่มเป็นประจำแล้ว ความซ่าจากคาร์บอเนตก็ติดตราตรึงใจผู้คนไม่น้อย
แม้จะมีราคาไม่สูงแต่เมื่อเทียบกับประโยชน์และโทษ นับว่าเป็นเครื่องดื่มที่ควรหลีกหนีให้ไกล

ประการแรก น้ำตาลที่สูงมากในน้ำอัดลมทุกขวด เป็นตัวสร้างปัญหาให้กับเราในเรื่องน้ำหนักตัวที่เกินปกติ เพราะน้ำอัดลม 1 กระป๋องหรือขวด มีน้ำตาลสูงเทียบเท่าน้ำตาลทราย 15-20 ช้อนชา
เรียกว่าเราได้พลังงานมหาศาลถึง 300-400 แคลอรี่ หากใช้ไม่หมดมันก็จะสะสมเป็นชั้นไขมันในพุง หรือในต้นขาของเรา

ประการที่สอง การบริโภคน้ำตาลในปริมาณมาก ๆ และบ่อย ๆ ไม่เป็นผลดีต่อระบบภายในร่างกาย เมื่อน้ำตาลสูงร่างกายก็ต้องพึ่งฮอร์โมนอินซูลินในการลดน้ำตาลในเลือด ตับอ่อนก็ต้องทำงานหนัก ก็อาจเกิดความเสื่อมได้เร็วกว่าปกติ ก็เป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน

จากเบาหวานก็จะมีอีกสารพัดโรคที่ตามมา อาทิ ความดันสูง หลอดเลือดตีบ โรคหัวใจ

แต่ท่านที่ติดความซ่าอาจคิดเลี่ยงไปซดเครื่องดื่มประเภทไร้แคลอรี่หรือปราศจากน้ำตาล แต่ท่านทราบไหมว่าเป็นการหนีเสือปะจระเข้ เพราะยิ่งดื่มจะยิ่งมีโอกาสอ้วน

จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยเท็กซัสกว่า 8 ปีต่อเนื่อง ได้มีข้อสรุปว่าผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มประเภทปราศจากน้ำตาลและใส่สารทดแทนความหวาน
จะมีโอกาสน้ำหนักเกินกว่ากลุ่มปกติการศึกษาชี้ถึงความเสี่ยงที่จะอ้วนสูงถึง 41% สำหรับทุก ๆ ขวดที่ดื่มเข้าไป

สาเหตุที่การดื่มเครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาลแต่กลับมีโทษต่อร่างกายมากกว่าเพราะสารทดแทนความหวานสร้างปฏิกิริยาทำให้ฮอร์โมนในร่างกายเก็บกักไขมันมากกว่าปกติ มากกว่าการเก็บจากภาวะที่เราได้จากน้ำตาลธรรมชาติ

ประการต่อมา ความประมาทของผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มที่คิดว่าไม่มีน้ำตาลหรือกังวลเรื่องน้ำหนักตัว ทำให้เผลอใจกินอย่างไม่ระมัดระวัง กว่าจะรู้ตัวอีกที อ้วนเสียแล้ว

สำหรับผู้ที่รักสุขภาพอย่างแท้จริง เครื่องดื่มประเภทนี้ควรหลีกหนีให้ไกลเลี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เปิดประวัติ ซีอุย ผู้เป็นตำนานของการกินตับ!!


ซีอุย
มีชื่อจริงว่า หลีอุย แซ่อึ้ง แต่คนไทยเรียกเพี้ยนเป็น ซีอุย เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2470 ที่เมืองซัวเถา โดยเป็นลูกคนที่ 3 จากพี่น้อง 12 ของนายฮุนฮ้อ กับ นางไป๋ติ้ง แซ่อึ้ง ในครอบครัวยากจนที่ทำการเกษตร เมื่อยังเป็นเด็กและเป็นวัยรุ่น ซีอุยมีส่วนสูง 150 เซนติเมตรเท่านั้น จึงมักถูกรังแกอยู่เสมอ จนกระทั่งมีนักบวชรูปหนึ่งได้แนะนำเขาว่า ถ้าอยากจะมีร่างกายแข็งแรงต้องกินเนื้อหรืออวัยวะมนุษย์ ซึ่งคำสอนนี้ได้ฝังอยู่ในใจซีอุยมาเสมอ

จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2488 ซีอุยอายุครบ 18 ปีเต็ม ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารรบในสงครามโลกครั้งที่สอง เขาประจำอยู่หน่วยรบทหารราบที่ 8 ในขณะที่จีนและญี่ปุ่นทำสงครามกันอยู่ เขาถูกส่งไปรบในสมรภูมิพม่าแนวสนามรบตามรอยต่อตะเข็บแดนของจีน เป็นเวลาถึงหนึ่งปีเต็มที่ซีอุยต้องเผชิญกับความลำบากและเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายตลอด อาหารก็ขาดแคลน ขณะที่เพื่อนทหารก็ทะยอยตายไปเรื่อย ๆ จากการสู้รบ ซีอุยจึงได้ลิ้มรสชาติเนื้อมนุษย์เป็นครั้งแรกจากที่นี่

เมื่อสงครามสงบ ซีอุยถูกปลดจากการเป็นทหาร ด้วยความแร้นแค้น ซีอุยถูกเพื่อน ๆ ชักชวนให้เข้ามาหางานทำในเมืองไทย โดยหลบหนีเข้าเมืองมาด้วยการเป็นกรรมกรรับจ้างในเรือขนส่งสินค้าชื่อ "โคคิด" เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2489 ด้วยการหลบซ่อนมาเป็นเวลา 3 สัปดาห์เต็ม โดยขึ้นฝั่งที่ท่าเรือคลองเตย และหลบซ่อนตัวในโรงแรมห้องแถวเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ต่อมาได้เดินทางไปยังอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อไปหาญาติ ที่นั่น ซีอุยทำงานด้วยการรับจ้างทำสวนผักและรับจ้างทั่วไปเป็นเวลานานถึง 8 ปีเต็ม ก่อนที่ซีอุยจะก่ออาชญากรรม โดยที่ซีอุยมีนิสัยชอบเกาหัวและหาวอยู่เสมอ ๆ มีบุคลิกชอบเก็บตัว

ซีอุยได้จับเด็กมาผ่าเอาตับมากินโดยเชื่อว่าเชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะ โดยได้ทำการฆ่าเด็ก 3 รายแรก ที่ อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ก่อนที่จะหลบหนีไปโดยรถไฟและก่อเหตุอีกที่งานฉลองตรุษจีนที่บริเวณองค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม เมื่อปี พ.ศ. 2500 สุดท้ายถูกจับได้หลังจากคดีฆาตกรรมในจังหวัดระยอง เมื่อปี พ.ศ. 2501 ขณะเตรียมจะทำลายศพเด็กชายอายุ 10 ขวบ!! ซึ่งเขาได้รับสารภาพว่า "เขาเคยฆ่าเด็กหญิง 6 คน เพื่อนำตับและหัวใจมากิน" และในบรรดาเหยื่อของซีอุย มีเพียงเหยื่อรายแรกและเป็นรายเดียวเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบ

คณะแพทย์ได้ทำการตรวจสอบร่างกายของซีอุย ไม่พบความผิดปกติ ทั้งร่างกายและจิตใจ แต่พบว่า ซีอุยมีความเชื่อผิดๆ คิดว่าการกินตับเด็กและหัวใจเด็กจะทำให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งสุดท้ายเขาถูกจับขังคุกและประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า เพราะในระหว่างดำเนินคดี 9 วัน ซีอุยยอมรับสารภาพว่าเป็นคนลงมือ 7 คดี ในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2502

ภายหลังมีการสืบค้นคดีโดยรายการโทรทัศน์ บางอ้อ ทางช่อง 9 รวมทั้งรายการ ย้อนรอย ทางไอทีวี มีหลักฐานพยานและรูปคดีที่บ่งชี้ว่า ซีอุย ไม่ได้ฆ่าเด็กทุกคน มีเพียงเด็กคนสุดท้ายเท่านั้นที่เป็นหลักฐานมัดตัว ขณะตำรวจได้เข้าจับกุมหลังจากซีอุยลงมือฆ่า และอวัยวะในร่างกายของเหยื่อทุกรายก็ไม่ได้สูญหาย จึงเป็นที่สงสัยว่าเหตุใด ซีอุย จึงรับสารภาพว่าเป็นผู้ฆ่าเหยื่อทุกราย และนำอวัยวะมากิน ซึ่งก็ยังเป็นประเด็นของรูปคดีที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัดในปัจจุบัน บ้างก็เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ของไทยได้ให้สัญญากับซีอุยว่าให้ซีอุยรับสารภาพ แล้วจะจัดการให้ได้กลับเมืองจีน ด้วยความที่ไม่จัดเจนในภาษาทำให้ซีอุยรับสารภาพ และถูกประหารชีวิตในที่สุด ซึ่งชาวบ้านร่วมสมัยที่ยังอาศัยในพื้นที่บางคนที่ยังมีชีวิตอยู่เชื่อว่าซีอุยไม่ได้เป็นฆาตกรตัวจริง

ปัจจุบัน ศพของซีอุยถูกเก็บเพื่อนำมาตรวจสอบ โดยเก็บรักษาไว้ที่โรงพยาบาลศิริราช โดยยังคงถูกเรียกชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า "พิพิธภัณฑ์ซีอุย"

ขอขอบคุณข้อมุลจาก วิกิพีเดีย
ภาพประกอบจาก www.photos.com

สถานะโดนๆ ที่เห็นแล้วต้อง กด Like


วันนี้ทีมงาน Sanook! Campus มีประโยคเด็ดๆ โดนๆ ชอบประโยคไหนเอาไปเป็นสถานะใน facebook รับรอง กด Likeกันมากมาย ภาค 2 นี่ออกแนวคมคาย ไม่เน้นความรัก อิอิ

ทีมงานออกตัวก่อนนะว่าไม่ได้คิดเอง เอามาจาก forward mail ^^

1.ความรักเริ่มขึ้น เมื่อคนๆหนึ่งรู้สึกว่า ความต้องการของอีกคนหนึ่งมีความสำคัญเท่ากันกับของตนเอง

2.การมีจิตใจร่ำรวยดีกว่าการร่ำรวยภายนอก

3.ผู้ใหญ่ไม่มีวันเข้าใจอะไรได้เลย และช่างน่าเบื่อสำหรับเด็กๆที่ต้องคอยอธิบายเรื่องพวกนี้ตลอดเวลา

4.การสอน คือ การเรียนซ้ำสอง

5.ที่ที่ดีที่สุดที่จะพบมือที่พร้อมจะช่วยเหลือคุณ คือ ที่สุดปลายแขนของคุณเอง

6.บางครั้งการทำสิ่งที่ถูกต้อง เราต้องแน่วแน่ และอาจต้องละทิ้งสิ่งที่ใจเราปรารถนาที่สุด แม้กระทั่งความฝันของเราเอง

7.รักที่เรามอบให้ คือ รักเดียวเท่านั้นที่เราจะรักษาไว้ได้

8.การแบ่งปันความยินดีเพิ่มความยินดีเป็นสองเท่า การแบ่งปันความทุกข์ ลดความทุกข์ลงสองเท่า

9.ความสุขที่สุดในชีวิต คือ ความมั่นใจว่าเราเป็นที่รักของทุกๆคน

10.สุดยอดของการมีชีวิต คือ มนต์ขลังของการเป็นที่ต้องการของคนเพียงคนเดียว

11.ความกลัว คือ ห้องมืดเล็กๆที่ใช้ล้างฟิล์มเนกกาทีฟออกมาให้เห็น

12.เป้าหมายในชีวิต คือ การใช้ชีวิตเพื่อบางสิ่งบางอย่างที่จะคงอยู่ยืนยาวกว่าชีวิตเรา

13.โลกไม่ใส่ใจเรา ว่ารู้อะไร จนกว่าโลกจะรู้ว่าเราใส่ใจ

14.ประสบการณ์ไม่ใช่สิ่งที่เกิดกับคุณ แต่เป็นสิ่งที่คุณทำกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ

15.ความดี คือ การลงทุนเพียงอย่างเดียวที่ไม่เคยล้มเหลว

16.ความเห็นอกเห็นใจ คือ กฎสำคัญของชีวิตมนุษย์

17.อย่าปล่อยให้ปัญหาของคุณเป็นข้ออ้างเป็นอันขาด

18.รักคนกด Like ไร้คนกด Love

19.ความรักหาได้ตาบอดมืด ความรักทำให้เห็นมากกว่า แต่เพราะความรักเห็นได้มากกว่า ความรักจึงเต็มใจที่จะเห็นได้น้อยลง

20.ทุกสิ่งในชีวิตโดยพื้นฐานแล้ว คือ ของขวัญ จงกางมือรับสิ่งนั้น และถือไว้

21.ความสุขก็เหมือนเช่นแมว หากคุณพยายามร้องเรียกหามัน มันก็จะหลีกหนีคุณ แต่หากคุณไม่ใส่ใจและทำเรื่องอื่นของคุณไป คุณก็จะพบมันคลอเคลียอยู่ที่ขาของคุณ

22. เราอาจทำสิ่งยิ่งใหญ่ไม่ได้ แต่ทำด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่ได้

23.รักหาใช่ใดอื่น หากคือการค้นพบตนเองในใจของผู้อื่น

24.สำหรับเด็กผู้หญิงบางคน ความรัก คือ การที่แม่อ่านนิทานให้ฟังก่อนนอน รักแท้ คือ ตอนที่แม่อ่านไม่ข้ามเลยสักหน้า

25.สิ่งที่เราให้คุณค่า คือ สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราคิด คือ สิ่งที่เราเป็น

26.ชีวิตไม่ได้มีข้อบังคับอะไร ว่าจะต้องได้สิ่งที่เราคาดหวังมา เพียงแต่เรารับสิ่งที่ได้มา แล้วนึกขอบคุณที่สิ่งนั้นไม่แย่ไปกว่านี้

27.วิธีที่จะรักสิ่งใดได้ คือการรับรู้ว่าอาจจะต้องสูญเสียสิ่งนั้นไป

28.เด็กๆต้องการความรัก โดยเฉพาะในเวลาที่ทำตัวไม่สมควรได้รับความรัก

29.คำสรรเสริญเป็นเช่นทองคำ มีค่าตรงที่หาพบได้ยาก

30.เด็กๆนั้นแสนดีตรงที่นำสิ่งจากสวรรค์มาสู่โลกที่แสนหยาบกระด้างของเรา

31.ความสำเร็จไม่เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่เราได้มาในชีวิตของเรา ความสำเร็จ คือ สิ่งที่เราทำให้คนอื่น

32. ออกซิเจนสำคัญต่อปอดเช่นไร ความฝันก็เป็นเช่นนั้นต่อความหมายของชีวิต

33. การตั้งคำถามบางคำ ดีกว่ารู้คำตอบทั้งหมด

34.เราไม่สามารถมีความสุขได้ตลอดเวลา แต่เราสามารถมอบความสุขได้ตลอดเวลา

35.ชีวิตที่อยู่เพื่อผู้อื่น เป็นชีวิตที่ใช้อย่างคุ้มค่า

36.วิกฤตการณ์ในอดีตเป็นเรื่องตลกสำหรับอนาคต

37.การรักและไม่ได้รับรักตอบ เป็นทุกข์ แต่สิ่งที่ทุกข์ยิ่งกว่า คือการรักใครสักคน แต่ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกให้คนคนนั้นรู้ และต้องมาเสียใจภายหลัง

38.ความรักคือความรู้สึกที่คุณยังห่วงใยใครสักคนอยู่ แม้จะแยกความ รู้สึก ความลุ่มหลง และความสัมพันธ์แบบรักใคร่ออกไปแล้ว

39.เมื่อประตูแห่งความสุขปิดลงประตูแห่งความสุขบานอื่นก็จะเปิดขึ้น แต่เราก็มัวแต่มองประตูที่ปิดลงไปแล้วเนิ่นนานจนกระทั่งเรามองไม่เห็นประตู ที่เปิดไว้รอ

40.เพื่อนที่ดีที่สุดคือคนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกัน โดยไม่พูดอะไรกันสักคำ แต่สามารถเดินจากไปด้วยความรู้สึกเหมือนได้คุยกัน อย่างประทับใจที่สุด

41.การมอบความรักทั้งหมดให้ใครสักคนไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเขาจะรักเราตอบ อย่าหวังที่จะได้รักตอบ แต่จงรอให้มันงอกงามขึ้นในหัวใจเขา แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ให้พอใจว่าอย่างน้อยมันก็ได้งอกงามขึ้นในใจของเราเอง

42. อย่าบอกลาถ้าคุณยังต้องการจะพยายามต่อไป อย่าท้อใจถ้าคุณยังรู้สึกว่าคุณไปไหว อย่าพูดว่าคุณไม่รักคนคนนั้นอีกแล้ว ถ้าคุณไม่สามารถทำใจ

43.การที่เราจะประทับใจใครนั้นใช้เวลาแค่เพียงนาที การที่เราจะชอบใครใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมง การที่เราจะรักใครใช้เวลาเพียงชั่ววัน แต่การที่จะลืมใครนั้นต้องใช้เวลาชั่วชีวิต

44. อย่ามองใครจากหน้าตา เพราะมันอาจหลอกเราได้ อย่ามองใครจากความร่ำรวย เพราะมันไม่จีรังยั่งยืน ให้มองหาคนที่ทำให้คุณยิ้มได้ เพราะเพียงยิ้มเดียว สามารถทำให้วันที่หม่นหมองกลับสดใส ขอให้คุณพบคนที่ทำให้คุณยิ้มได้

45. คำพูดที่ไม่ได้ยั้งคิดอาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง คำพูดที่โหดร้ายอาจทำลายชีวิต คำพูดที่เหมาะกาลเทศะอาจลดความเครียด คำรักอาจเยียวยาและทำให้มีสุข

46. จุดเริ่มของความรักคือการปล่อยให้คนที่เรารักเป็นตัวของตัวเอง อย่าดึงเขาจากภาพความเป็นเขา มิฉะนั้นจะหมายความว่ามันเป็นเพียงภาพสะท้อนของตัวเรา ที่ปรากฏในพวกเขา

47. คนที่มีความสุขที่สุดไม่ได้หมายความว่าเขามีสิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่เขาสามารถทำสิ่งที่เขามีให้ดีที่สุดได้ต่างหาก

48.ความรักเริ่มต้นด้วยรอยยิ้ม งอกงามด้วยรอยจูบ และจบลงด้วยคราบน้ำตา

49. อนาคตที่สดใสมีรากฐานอยู่บนอดีตที่แสนเจ็บปวด คุณไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ดี ถ้าหากไม่รู้จักปล่อยวางความผิดพลาดในอดีต และความปวดใจ

50. คุณร้องไห้ตอนคุณเกิดในขณะที่คนรอบข้างกำลังยิ้ม จงมีชีวิตอยู่เพื่อเมื่อตอนคุณตาย คุณจะเป็นคนที่ยิ้ม ในขณะที่คนรอบข้างร้องไห้ให้คุณ

ว้าว! ดูหนังตลกดีต่อหัวใจ


ดูหนังตลกดีต่อหัวใจ (ไทยโพสต์)

นักวิจัยพบว่า การดูหนังที่ทำให้เราหัวเราะดีต่อสุขภาพหัวใจของเรา ในทางกลับกันการดูหนังสยองขวัญ หรือหนังสงครามจะเพิ่มความเครียดให้แก่เราแทน

ในการวิจัย ทีมวิจัยให้อาสาสมัครชมหนังตลกต่อเนื่องกัน เช่นเรื่อง "There Something About Mary" แสดงโดยคาเมรอน ดิอาซ แล้วในวันถัดมาชมหนังสงคราม "Saving Private Ryan"

ดร.ไมเคิล มิลเลอร์ หัวหน้าคณะผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์แมริแลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า เมื่ออาสาสมัครชมหนังที่มีเนื้อหาเครียด หลอดเลือดจะมีปฏิกิริยาต่ออารมณ์ โดยจะทำการบีบตัวทำให้เลือดไหลเวียนได้ยากมากขึ้น แต่ในทางกลับกันหากชมหนังตลก หลอดเลือดจะคลายตัวแทน

เขากล่าวว่า ข้อค้นพบนี้ยืนยันงานศึกษาวิจัยที่เคยมีมาก่อนว่า หากเราอยู่ในภาวะเครียดและกดดัน หลอดเลือดของเราจะบีบตัว โดยรวมแล้วจากการเก็บข้อมูล 300 ครั้งพบว่า ความแตกต่างระหว่างหลอดเลือดในยามที่เราหัวเราะกับยามที่เราเครียด มีขนาดแตกต่างกันถึง 30-50%

ดร.มิลเลอร์แนะนำว่า "ข้อสรุปง่าย ๆ ก็คือ การหัวเราะดีต่อหัวใจของเรา ระดับความเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุผนังหลอดเลือดที่เราพบหลังการหัวเราะ อยู่ในระดับเดียวกับการออกกำลังกายแอโรบิกเลยทีเดียว

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

เริ่มแรกมีรถเมล์ในประเทศไทย

ปี พ.ศ. 2428 ประเทศไทยมีรถเทียมม้า ซึ่งเรียกกันว่า "รถเมล์" และวิ่งตามเส้นทางเรือเมล์ที่มีอยู่ก่อนแล้ว แต่ให้บริการอยู่ประมาณ 2 ปี จึงเลิกกิจการเนื่องจากมีการนำรถรางเข้ามาใช้แล้ว

ปี พ.ศ. 2450 พระยาภักดีนรเศรษฐ หรือ นายเลิศ เศรษญบุตร เริ่มกิจการรถเมล์ขึ้นอีกครั้ง ให้บริการระหว่าง สะพานยศเส (สะพานกษัตริย์ศึก) กับตลาดประตูน้ำ ซึ่งเป็นต้นทางเรือเมล์ของนายเลิศในคลองแสนแสบด้วย เส้นทางนี้ยังไม่มีรถราง กิจการรถเมล์จึงไปได้ดี

ปี พ.ศ. 2456 นายเลิศนำรถยี่ห้อฟอร์ดเข้ามาให้บริการ และขยายเส้นทางไปถึงบางลำพู ย่านการค้าที่สำคัญของยุคนั้น ขนาดของรถใกล้เคียงกับรถม้า มี 3 ล้อ มีที่นั่งเป็นม้ายาว 2 แถว และนั่งได้ประมาณ 10 คน ขณะวิ่งจะมีเสียงโกร่งกร่าง ผู้คนจึงเรียกกันว่า "อ้ายโกร่ง" แต่บางคนเรียกว่า "รถเมล์ขาวนายเลิศ" เนื่องจากตัวรถมีสีขาว และมีเครื่องหมายกากบาทสีแดงในวงกลม

ด้วยนโยบาย "สุภาพ ซื่อสัตย์ ประหยัด ทันใจ เอากำไรน้อย บริการผู้มีรายได้น้อย" ทำให้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น กิจการก็เติบโตขึ้นด้วย จึงมีการพัฒนาเป็นรถ 4 ล้อ ที่ออกแบบขึ้นเอง มีที่นั่ง 2 แถวด้านข้าง ขยายเส้นทางออกไปอีกหลายสาย และมีผู้ประกอบการรายอื่นเพิ่มขึ้นมา รวมแล้วประมาณ 30 ราย ให้บริการไปทั่วกรุงเทพฯ ตัวรถเมล์มีทั้งสีแดง เหลือง และเขียว

ปี พ.ศ. 2497 เริ่มมีการจัดระเบียบรถเมล์ โดยรัฐบาลออก พ.ร.บ. ขนส่ง ควบคุมให้ผู้ประกอบการต้องขอใบอนุญาตก่อนทำกิจการรถเมล์

ปี พ.ศ. 2518 รัฐบาลสมัยของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช (หม่อมน้อง) ให้รวมกิจการรถเมล์ในกรุงเทพฯ เป็นบริษัทเดียวกัน คือ บริษัทมหานครขนส่ง จำกัด ซึ่งอยู่รูปแบบของรัฐวิสาหกิจ โดยรัฐและเอกชนถือหุ้นพอๆ กัน ต่อมาในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2519 รัฐบาลสมัยของ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช (หม่อมพี่) ได้ออกพระราชกฤษฎีการวมกิจการของ บริษัทมหานครขนส่ง จำกัด เข้ากับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงคมนาคม

กิจการรถเมล์ขาวนายเลิศ ที่ดำเนินการมาเป็นเวลา 70 ปี ในขณะนั้นได้รับสัมปทานเดินรถ 36 สาย มีจำนวนรถ 700 คัน และมีพนักงานถึง 3,500 คน จึงเลิกกิจการไปในปี พ.ศ. 2520 โดยอู่รถเมล์ขาวนายเลิศเดิม ได้กลายเป็นสถานที่ตั้งของโรงแรมปาร์คนายเลิศ ณ ถนนวิทยุ ในปัจจุบันนั่นเอง

ที่มา : หนังสือ 100 แรกมีในสยาม โดย โรม บุนนาค,http://th.wikipedia.org/wiki/รถเมล์นายเลิศ

มารยาท และวิธีทานปลาดิบ (sashimi) ให้อร่อย

ในจานปลาดิบที่มีปลา 2, 3 ชนิดรวมกันนอกนั้นจะมีสาหร่าย หัวผักกาด และอื่นๆ
รวมอยู่ในภาชนะด้วย จะคีบชิ้นไหนทานก่อนนั้นมีเคล็ดลับว่า ควรทานจากชิ้นเล็กที่สุด
จะทำให้รู้สึกอร่อยกว่าเลือกทานตามใจชอบ

อย่าละลายวาซาบิ (wasabi) ลงในน้ำโชยุ (shoyu)
เพราะจะทำให้กลิ่นหอมของวาซาบิเสียไป วิธีที่แนะนำมี 2 วิธี คือ
1. ใช้วาซาบิแตะปลาดิบ แล้วจึงแตะโชยุ
2. วางก้อนวาซาบิด้านในขอบถ้วยโชยุ แล้วนำ
ปลาดิบแตะวาซาบิจากบนลงล่างเพื่อแตะโชยุ

ถ้วยใส่โชยุสามารถใช้มือถือขึ้นมาได้
แต่ให้ระวังท่าทางในการทาน
โดยในขณะยกถ้วยขึ้นมาอย่าก้มตัวเข้าหาถ้วย
และจะยกถ้วยโชยุสูงระดับอกเพื่อจะได้ไม่หยด
หรือใช้กระดาษรองกันน้ำโชยุหกใส่โต๊ะก็ได้

ในการทานนั้นตามมารยาทแล้ว
ไม่ควรแกว่งปลาดิบไปมาในถ้วยโชยุ หรือจุ่มจนท่วมชิ้นปลาดิบ
ส่วนผักเคียงในจานปลาดิบจะทานหรือไม่ก็ได้ ไม่ถือเป็นการผิดมารยาท

หมายเหตุ : โชยุ คือ ซีอิ๊วญี่ปุ่น

ที่มา: หนังสือมารยาทสากลในการรับประทานอาหาร (ฝรั่ง-ญี่ปุ่น-จีน) จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ทฤษฎี

บรั่นดี (brandy) คืออะไร

บรั่นดี (brandy) คืออะไร

"บรั่นดี (brandy)" นั้น มาจากคำว่า "brandewijn" ซึ่งเป็นภาษาดัตช์ (Dutch)
แปลว่า "burnt wine" ซึ่งหมายถึงการให้ความร้อนแก่เหล้าองุ่นเพื่อกลั่น ดังนั้น
บรั่นดีจึงเป็นสุราชนิดแรงที่กลั่นจากเหล้าองุ่น แต่ถ้าเป็นชนิดที่กลั่นจากน้ำผลไม้อื่นๆ
หลังจากการหมักแล้วก็เรียกว่า บรั่นดีผลไม้ (fruit brandy) เช่น apple brandy
ทำจากแอปเปิ้ล peach brandy ทำจากพีช เป็นต้น

คุณภาพของบรั่นด
ีขึ้นอยู่กับ คุณภาพของเหล้าองุ่นที่นำมากลั่น, กรรมวิธี
ที่ใช้ในการกลั่น, และที่สำคัญที่สุดก็คือการเลือกชนิดไม้ที่ใช้ทำถังเพื่อเก็บบ่มบรั่นดี
หลังจากกลั่นแล้ว ซึ่งการเก็บบ่มสุราไว้ในถังไม้ที่เหมาะสมเป็นเวลานานปี จะเป็นการ
ทำลายสารพิษต่างๆ เช่น fusel oils ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างกรรมวิธีการผลิตและเจือปน
อยู่ในสุราให้หมดไปอีกด้วย

บรั่นดีที่นิยมกันว่าเป็นชนิดที่ดีที่สุด คือ บรั่นดีที่ผลิตจากเมืองคอนยัก
(Cognac) และเมืองอาร์มายัก (Armagnac) ประเทศฝรั่งเศส และ
เรียกชื่อบรั่นดีนี้ตามชื่อเมือง บรั่นดีทั้ง 2 ชนิดนี้ผู้ผลิตจะเก็บบ่มไว้ในถังไม้โอ๊ก
เป็นเวลาหลายๆ ปี ส่งผลให้สารแทนนินส์ (tannins) ที่มีอยู่ในเนื้อไม้
ละลายลงไปในบรั่นดีทำให้มีสีเหลืองอำพัน และทำให้มีกลิ่นหอม สำหรับบรั่นดี
ที่มีคุณภาพต่ำนั้น ผู้ผลิตจะเติมสารคาโรเมล (caromel) ลงไป
เพื่อทำให้บรั่นดีมีสีเหลือง และเติมวานิลลา (vanilla) ลงไปเพื่อปรุงกลิ่น
สำหรับบรั่นดีที่เก็บบ่มไว้ในถังไม้โอ๊ก ซึ่งฉาบผิวด้วยขี้ผึ้งพาราฟิน (paraffin) หรือ
เก็บบ่มไว้ในภาชนะดินเผาจะมีลักษณะใสไม่มีสี

บรั่นดีและสุราชนิดอื่นๆ เมื่อบรรจุขวดแล้ว
ไม่ว่าจะเก็บไว้นานสักเท่าใด ก็ไม่มีผลทำให้
คุณภาพดีขึ้นไปกว่าก่อนบรรจุขวด

ที่มา :
- หนังสือวิทยาศาสตร์น่ารู้ (ชุดที่1 80เรื่อง) โดย ดร.บุญพฤกษ์ จาฏามระ
- http://us.geocities.com/zoneubon/cocktail.html

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

สตอเบอร์รี่ช่วยเลือนริ้วรอยได้ง่าย ๆ



สตอเบอร์รี่ช่วยเลือนริ้วรอยได้ง่าย ๆ (Woman's Story)


ผลไม้สีแดงสดใส รสชาติหอมหวาน อมเปรี้ยว แสนอร่อย นอกจากจะมีประโยชน์ในด้านโภชนาการแล้ว สตอเบอร์รี่ยังเต็มไปด้วยวิตามินที่เป็นประโยชน์กับผิว มีคุณสมบัติในการลดริ้วรอย อีกทั้งยังทำให้ใบหน้าสดใส ซึ่งวิธีการที่จะนำสตอเบอร์รี่มาใช้ลดเลือนริ้วลอยนั้นก็ง่ายมาก ๆ ค่ะ

นำสตอเบอร์รี่ 2-3 ผล ล้างให้สะอาด ก่อนนำไปปั่นรวมกับน้ำผึ้งประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ ปั่นให้เนื้อเข้ากัน จากนั้นนำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นบริเวณรอบดวงตาและรอบปาก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ปิดท้ายด้วยการทาครีมหรือมอยเจอร์ไรเซอร์

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

คำไทยคุ้นตา ที่มักเขียนผิดกันบ่อย ๆ


แทบไม่น่าเชื่อว่า เดี๋ยวนี้ "ภาษาไทย" ของคนไทยเองไม่แข็งแรงเอาเสียเลย โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่มักจะเขียนภาษาไทยกันอย่างผิด ๆ แม้แต่บางคำที่ไม่น่าจะเขียนผิด แต่เพราะความเคยชิน ทำให้เขียนผิดอย่างที่คุณครูสอนภาษาไทยยังต้องกุมขมับ ซึ่งบางทีเราอาจจะไม่ได้ตั้งใจเขียนผิด แต่เป็นเพราะเห็นตามร้านค้า ป้ายประกาศตามสถานที่ต่าง ๆ เขียนเช่นนี้จนคุ้นตา ทำให้เราเข้าใจว่า คำดังกล่าวเขียนถูกต้อง นำไปสู่การจดจำที่ผิด ๆ โดยไม่รู้ตัวนั่นเอง

โดยเฉพาะ "คำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ" ซึ่งคนไทยนิยมออกเสียงตรี ที่มักนำมาเขียนกันแบบผิด ๆ ให้เห็นอยู่บ่อย ๆ เช่น คำว่า คุ๊กกี้ ช๊อกโกแลต ซีฟู๊ด น๊อต นู๊ด ท๊อป แฟ๊บ มั๊ย ร๊อก สนุ๊กเกอร์ เสื้อเชิ๊ต รู้ไหมว่า จริง ๆ แล้วคำเหล่านี้เขียนผิดทั้งหมด

เพราะตามหลักภาษาไทยที่ได้บัญญัติไว้ในราชบัณฑิตยสถานนั้น ได้ระบุไว้ว่า "วรรณยุกต์ตรี" ไม่สามารถใช้กับคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะเสียงต่ำ หรืออักษรต่ำได้ (อักษรต่ำ มีทั้งหมด 24 ตัว แบ่งเป็น อักษรต่ำคู่ 14 ตัว คือ ค, ฅ, ฆ, ช, ฌ, ซ, ฑ, ฒ, ท, ธ, พ, ภ, ฟ, ฮ และอักษรต่ำเดี่ยว 10 ตัว คือ ง, ญ, ณ, น, ม, ย, ร, ล, ว, ฬ)

ดังนั้นแล้ว คำทับศัพท์ภาษาอังกฤษบางคำที่ออกเสียงตรี อาจใช้ไม้โท ไม้ไต่คู้แทน หรือไม่ต้องใส่วรรณยุกต์ใด ๆ เลย ดังนั้น จากคำข้างต้นที่เขียนถูกต้องต้องเป็น คุกกี้ ช็อกโกแล็ต ซีฟู้ด น็อต นู้ด ท็อป มั้ย ร็อก สนุกเกอร์ เสื้อเชิ้ต


และวันนี้กระปุกดอทคอม ก็ได้รวบรวมเอาคำภาษาไทยที่ใช้บ่อย ๆ และมักจะเขียนผิดกันอยู่เป็นประจำมาฝาก เพื่อให้จดจำนำคำที่ถูกต้องไปใช้กัน สำหรับใครที่ต้องการตรวจสอบว่า คำที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เขียนได้ถูกต้องหรือไม่ ก็สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ของราชบัณฑิตยสถานค่ะ


คำที่เขียนถูก
มักเขียนผิดเป็น
กงเกวียนกำเกวียน
กงกำกงเกวียน
กงสุล
กงศุล
กฎ
กฏ
กฎหมาย
กฏหมาย
กบ (เต็ม,แน่น) เช่น เลือดกบปาก
เลือดกลบปาก
กบฏ
กบฎ, กบถ
กบาล, กระบาล
กะบาล, -บาน
กระจิริด
กระจิ๊ดริด , กะจิ๊ดริด
กระหนก (ลายไทย)
กนก
กรีฑา (กีฬาประเภทหนึ่ง)
กรีทา, กรีธา
กรีธาทัพ (เคลื่อน ยก เดินเป็นหมู่หรือเป็นกระบวน)
กรีฑาทัพ
กะทันหัน
กระทันหัน
กะเทย
กระเทย
กะบังลม
กระบังลม
กะพง
กระพง
กะพริบ
กระพริบ
กะพรุน
กระพรุน
กะเพรา
กระเพรา
กังวาน
กังวาล
กาลเทศะ
กาละเทศะ
เกม
เกมส์
เกษียณอายุ
เกษียนอายุ
เกษียนหนังสือ
เกษียณหนังสือ,เกษียรหนังสือ
เกษียรสมุทร เกษียณสมุทร,เกษียนสมุทร
เกสร
เกษร
เกาต์
เก๊าท์
แก๊ง
แก๊งค์, แก๊งก์
ขะมักเขม้น
ขมักเขม้น
ข้าวเหนียวมูน
ข้าวเหนียวมูล
คทา
คฑา, คธา
ครอก (ฝูงลูกสัตว์ที่เกิดร่วมในคราวเดียวกัน)
คลอก (ไฟล้อมเผาออกไม่ได้)
คริสตกาล
คริสต์กาล
คริสตจักร
คริสต์จักร
คริสต์ทศวรรษ
คริสตทศวรรษ
คริสต์ศตวรรษ
คริสตศตวรรษ
คริสต์ศักราช
คริสตศักราช
คริสต์ศาสนา
คริสตศาสนา
ครุภัณฑ์คุรุภัณฑ์
ครุศาสตร์ คุรุศาสตร์
คลิก
คลิ้ก, คลิ๊ก
คลินิก
คลีนิก, คลินิค
ค้อน
ฆ้อน
คอนแวนต์
คอนแวนท์
คะค๊ะ
คำนวณ
คำนวน
คุกกี้
คุ้กกี้, คุ๊กกี้
เครื่องราง
เครื่องลาง
เครื่องสำอาง
เครื่องสำอางค์
แค็ตตาล็อก
แคตตาล็อก, แคตาล็อก
แคระแกร็นแคระแกรน
โควตา
โควต้า
งูสวัด
งูสวัส, งูสวัสดิ์
เงินทดรอง
เงินทดลอง
จงกรม
จงกลม
จะงอย
จงอย
จะจะ
จะ ๆ
จะละเม็ด
จาละเม็ด, จาระเม็ด, จรเม็ด, จระเม็ด
จักจั่น
จั๊กจั่น
จักรพรรดิ
จักรพรรดิ์
จักรวรรดิ
จักรวรรดิ์
จักสาน
จักรสาน
จาระบี
จารบี
จำนง/เจตจำนง จำนงค์/เจตจำนงค์
โจทก์จำเลย
โจทย์จำเลย
โจทย์เลข
โจกท์เลข
โจษจัน
โจทจัน,โจทย์จัน,โจษจรรย์
ฉัน ฉันท์ เสมือน เช่น ฉันญาติ ฉันมิตร; รับประทาน ใช้กับพระสงฆ์
ฉันท์
ชโลม
ชะโลม
ชอุ่มชะอุ่ม
ซาวเสียง
ซาวด์เสียง, ซาวน์เสียง, ซาวนด์เสียง
ซ่าหริ่มสลิ่ม, ซะหริ่ม, ซ่าหลิ่ม
ซีเมนต์
ซีเม็นต์, ซีเมนท์, ซีเม็นท์, ซีเม็น
เซ็นชื่อ
เซ็นต์ชื่อ
เซนติเมตร
เซ็นติเมตร
ฌาน ฌาณ
ดอกจัน (เครื่องหมาย)
ดอกจันทร์ ,ดอกจันทน์
ดอกไม้จันทน์
ดอกไม้จันทร์
ดัตช์
ดัชต์, ดัชท์, ดัทช์
ดำรงดำรงค์
โดยดุษณี (อาการนิ่งซึ่งแสดงถึงการยอมรับ)
โดยดุษฎี (ความยินดี , ชื่นชม)
ตรรกะ, ตรรก
ตรรกกะ
ตระเวน / ลาดตระเวน
ตระเวณ / ลาดตระเวณ
ตราสัง
ตราสังข์
ตะราง (ที่คุมขังนักโทษ)
ตาราง
ต่าง ๆ นานา
ต่าง ๆ นา ๆ
ตานขโมย
ตาลขโมย
เต็นท์
เต๊นท์
ใต้เท้า
ไต้เท้า
ไต้ก๋ง
ใต้ก๋ง
ไตรยางศ์
ไตรยางค์
ถนนลาดยาง
ถนนราดยาง
ทโมน
ทะโมน, โทมน
ทยอย
ทะยอย
ทแยง
ทะแยง, แทยง
ทรงกลด
ทรงกรด
ทรราช (ผู้ปกครองบ้านเมืองที่ใช้อำนาจสร้างความเดือดร้อน)
ทรราชย์
ทระนง, ทะนง
ทรนง, ทนง
ทลาย
ทะลาย
ทศกัณฐ์
ทศกัณฑ์
ทอนซิล
ทอมซิน
ทะนุถนอม
ทนุถนอม
ทะลาย (ช่อหมาก, มะพร้าว)
ทลาย (แตกหัก, พัง)
ทะเลสาบ
ทะเลสาป
เทคนิค
เทคนิก
ทูนหัว
ทูลหัว
ทูลกระหม่อม
ทูนกระหม่อม
เท่
เท่ห์
เทพนม
เทพพนม
เทิด
เทอด
เทเวศร์
เทเวศน์
เท้าความ ท้าวความ
แท็กซี่ แท๊กซี่
นอต
น็อต, น๊อต
นัย
นัยยะ
นัยน์ตา
นัยตา
น้ำจัณฑ์
น้ำจัน
น้ำมันก๊าด
น้ำมันก๊าซ, -ก๊าส
น้ำแข็งไส
น้ำแข็งใส
โน้ต
โน๊ต, โน้ท, โน๊ท
บ่วงบาศ
บ่วงบาศก์, บ่วงบาต, บ่วงบาท
บังสุกุล
บังสกุล
บัญญัติไตรยางศ์
บัญญัติไตรยางค์
บัตรสนเท่ห์
บัตรสนเท่
บันได
บรรได
บันเทิง
บรรเทิง
บันลือ
บรรลือ
บางลำพู
บางลำภู
บิณฑบาต
บิณฑบาตร, บิณฑบาท
บิดพลิ้ว
บิดพริ้ว
เบรก
เบรค
ประกายพรึก
ประกายพฤกษ์
ประจัญบาน
ประจันบาน, ประจันบาล, ประจัญบาล
ประจันหน้า
ประจัญหน้า
ประณต
ประนต
ประณม (การน้อมไหว้)
ประนม (ยกกระพุ่มมือ)
ประณาม (กล่าวร้าย)
ประนาม
ปรากฏ
ปรากฎ
ปรานี (เอ็นดู)
ปราณี (ผู้มีชีวิต)
ปล้นสะดมปล้นสดมภ์
ปะแล่ม
ปแล่ม, แปล่ม
ปาติโมกข์
ปาฏิโมกข์
ปิกนิก
ปิคนิค
ปุโรหิต
ปุโลหิต
เปอร์เซ็นต์
เปอร์เซนต์
ผล็อย
ผลอย
ผลัดเปลี่ยน
ผัดเปลี่ยน
ผลัดเวร
ผัดเวร
ผอบ
ผะอบ
ผัดวันประกันพรุ่ง
ผลัดวันประกันพรุ่ง
ผัดหนี้
ผลัดหนี้
ผาสุก
ผาสุข
เผอเรอ
เผลอเรอ
ผัดไทย
ผัดไท
พะแนง
พแนง, แพนง
พะยอม
พยอม
พันทาง
พันธุ์ทาง
พัศดี
พัสดี
พากย์หนัง
พากษ์หนัง
พานจะเป็นลม
พาลจะเป็นลม
พิศวาส
พิสวาส
พิสดาร
พิศดาร
พิสมัย
พิศมัย
พุทธชาด
พุทธชาติ
เพชฌฆาต
เพชรฆาต, เพ็ชรฆาต
เพนียด
พเนียด, พะเนียด
เพริศพริ้ง
เพริดพริ้ง
เพียบพร้อม
เพรียบพร้อม
แพทยศาสตร์
แพทย์ศาสตร์
โพนทะนา
โพนทนา
โพสพ
โพศพ
ฟังก์ชัน
ฟังก์ชั่น
ฟิล์ม
ฟิลม์, ฟิมล์, ฟิม์ล
ฟุลสแก๊ป
ฟูลสแกป
ไฟแช็ก
ไฟแชค, ไฟแช็ค
มงกุฎ
มงกุฏ
มณฑป
มนฑป, มณทป
ม่อห้อม, ม่อฮ่อม, หม้อห้อม
หม้อฮ่อม
มัคคุเทศก์
มัคคุเทศ, มัคคุเทศน์
มัคนายก, มรรคนายกมัคทายก, มรรคทายก
มัสตาร์ด
มัสตาด
มัสมั่น
มัสหมั่น
มานุษยวิทยา
มนุษยวิทยา
ม่าเหมี่ยว
มะเหมี่ยว
มุกตลก
มุขตลก
ไมยราบ (พรรณไม้)
ไมยราพ
ไมยราพณ์ (ตัวละครในรามเกียรติ์)
ไมยราพ
ย่อมเยา
ย่อมเยาว์
รสชาติรสชาด
ระเห็จ
รเห็จ, เรห็จ
รักษาการ (ปฏิบัติหน้าที่แทนชั่วคราว)
รักษาการณ์
รักษาการณ์ (เฝ้าดูแลเหตุการณ์)
รักษาการ
ราชัน (พระเจ้าแผ่นดิน)
ราชันย์ (เชื้อสายของพระเจ้าแผ่นดิน)
แร็กเกต แร็กเก็ต
แร็กเก็ต
ลมปราณ
ลมปราน
ล็อกเกต
ล็อกเก็ต
ละโมบ
ลโมบ
ละเอียดลออ
ลเอียดลออ, ละเอียดละออ
ลายเซ็น
ลายเซ็นต์
ลิดรอนสิทธิ์
ริดรอนสิทธิ์
ลิฟต์
ลิปต์, ลิฟ, ลิฟท์
ลำไย
ลำใย
ลูกนิมิต
ลูกนิมิตร
ลูกบาศก์
ลูกบาศ
เล่นพิเรนทร์
เล่นพิเรนท์
เลือนราง
เลือนลาง
เลิกรา
เลิกลา
โลกาภิวัตน์
โลกาภิวัฒน์
โล่โล่ห์
ไล่เลียง
ไล่เรียง, ไร่เรียง, ไร่เลียง
วันทยหัตถ์
วันทยาหัตถ์
วันทยาวุธ
วันทยวุธ
วายชนม์
วายชน
วารดิถี
วาระดิถี
วิ่งเปี้ยว
วิ่งเปรี้ยว
วิ่งผลัด
วิ่งผัด
วิหารคด
วิหารคต
วีดิทัศน์วิดีทัศน์,วีดีทัศน์
เวทมนตร์
เวทย์มนตร์, เวทมนต์
เวนคืน
เวรคืน
สไบ
สะไบ, ไสบ
สังเกต
สังเกตุ
สันโดษ
สัญโดษ
สัมมนา
สัมนา, สำมะนา
สาบสูญ
สาปสูญ
สาปแช่ง
สาบแช่ง
สามเส้า
สามเศร้า
สายสิญจน์
สายสิญจ์
สิริมงคล ศิริมงคล
สีสวาด
สีสวาท, สีสวาส
สุกียากี้
สุกี้ยากี้
เสื้อกาวน์
เสื้อกาว, เสื้อกาวด์
แสตมป์
สแตมป์
หมูหย็อง
หมูหยอง
หมาใน
หมาไน
หมามุ่ย, หมามุ้ย
หมาหมุ้ย
หย็องแหย็ง
หยองแหยง
หลงใหล
หลงไหล
หัวมังกุท้ายมังกร
หัวมงกุฎท้ายมังกร
เหลวไหล
เหลวไหล
ใหลตาย (โรค)
ไหลตาย
องคชาต
องคชาติ
อนุญาต
อนุญาติ
อนุมัติ
อนุมัต
อเนกประสงค์
เอนกประสงค์
อเนจอนาถ
อเนถอนาถ
ออฟฟิศ
อ็อฟ-, -ฟิซ, -ฟิส, -ฟิต
อ้อยควั่น
อ้อยขวั้น, อ้อยฟั่น
อะลุ่มอล่วย, อะลุ้มอล่วย
อลุ่มอล่วย, อะลุ่มอะหล่วย
อะไหล่
อาหลั่ย, อาไหล่, อะหลั่ย
อัญชัน
อัญชัญ
อัตคัด
อัตคัต
อานิสงส์
อานิสงฆ์
อาเพศ
อาเพท, อาเภท
อินทรี (ปลา, นก)
อินทรีย์ (ร่างกายและจิตใจ)
อินฟราเรด
อินฟาเรด, อินฟาร์เรด
อิริยาบถ
อิริยาบท
อิเล็กทรอนิกส์
อิเล็คทรอนิกส์, อิเล็คโทรนิกส์
อีเมล
อีเมล์
เอเชีย
เอเซีย
ไอศกรีม
ไอศครีม, ไอติม, ไอสกรีม